ฝ่าฝืนป้ายจราจร Tesla เรียกคืนรถ

Tesla

ฝ่าฝืนป้ายจราจร Tesla เรียกคืนรถกว่า 54,000 คัน

บริษัทเทสล่าได้เผชิญหน้ากับปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีของรถยนต์อีกครั้งหลังจากที่มีรถยนต์หลายคันพยายามที่จะฝ่าฝืนป้ายจราจรโดยการขับผ่านป้าย “หยุด” โดยหลังเกิดปัญหานี้ทาง Tesla ก็ได้มีการเรียกคืนรถยนต์กลับเข้าศูนย์มากถึง 54,000 คัน เพื่อแก้ไขปัญหาระบบเทคโนโลยีให้ทำงานได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นโดยรถยนต์ที่ถูกเรียกกลับเข้าศูนย์ได้แก่ Model S sedans and X SUVs ที่ใช้งานตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2020, Model 3 sedans ที่ใช้งานตั้งแต่ 2017-2020 และ Model Y SUVs ที่ใช้งานตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน

การเรียกคืนรถยนต์คราวนี้เพื่อแก้ไขระบบที่มีชื่อว่า “ Rolling Stop” ระบบรถยนต์ที่จะมีการขับเคลื่อนอย่างช้า ๆ ถ้าหากว่ามีการตรวจสอบว่าถ่ายหน้ารถยนต์ไม่มีคนหรือว่าไม่มีรถอยู่ซึ่งนั่นรวมถึงป้ายจราจรด้วยโดยรถยนต์ที่ใช้ฟีเจอร์นี้จะมีการขับเคลื่อนด้วยอัตราความเร็วต่ำกว่า 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

Rolling Stop เป็นระบบที่ถูกพัฒนาออกมาให้ใช้งานตั้งแต่ในช่วงเดือนตุลาคมปี 2020 ซึ่งยังอยู่ในช่วงเวอร์ชันเบต้าอยู่ โดยปัญหาที่ค้นพบในระบบนี้ก็คือมีรถยนต์ Tesla ที่ใช้ระบบนี้มีการฝ่าฝืนกฎจราจรโดยการขับเคลื่อนอย่างช้า ๆ ผ่านป้ายหยุดนั่นเอง

ทาง the National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ได้มีการประชุมกับบริษัท Tesla เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว และได้มีการสั่งให้เทสล่ายกเลิกการใช้ระบบการขับเคลื่อนแบบ Rolling Stop ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เกิดอุบัติเหตุก็ตามที พร้อมกับมีการชี้แจงว่าการที่รถยนต์ฝ่าฝืนกฎจราจรหรือว่าป้าย “หยุด” ถึงแม้ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่ต่ำก็ตามแต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และในเรื่องของความปลอดภัยยังขอให้ Tesla อย่าทำการทดสอบระบบต่าง ๆ กับผู้ที่ยังไม่มีความชำนาญในด้านการขับรถเพราะว่าระบบอาจจะทำงานผิดพลาดได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับคนเดินเท้าผู้คนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้นั่นเอง

ถึงแม้ว่ารถยนต์ของ Tesla จะมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากมายและได้หลายคนอยากจับจองเป็นเจ้าของแต่ว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้การขับขี่รถยนต์ปลอดภัยมากขึ้นเลยถึงแม้ว่าจะมีระบบการขับขี่อัตโนมัติแต่ว่าก็เคยมีข่าวคราวว่าระบบดังกล่าวได้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ถ้าหากว่าผู้ขับขี่ไม่ได้มีสติขณะขับรถหรือที่ผ่านมาล่าสุดก็คือมีการอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถเล่นเกมขณะขับรถได้ซึ่งมันก็เป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้กับผู้ขับรถยนต์สามารถเล่นเกมขณะที่ขับขี่ได้ด้วยเช่นเดียวกันซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอันตรายมากบนท้องถนนที่มีรถยนต์เพื่อนอยู่ตลอดเวลา ในทีนี้ก็ต้องมาดูว่าทางบริษัท Tesla จะมีการแก้ไขปัญหาเทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในรถยนต์อย่างไรเพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้คนที่อยู่บนท้องถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Guardian 

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

บริษัท Tesla จ่ายเงิน 137 ล้านดอลลาร์

Tesla

บริษัท Tesla จ่ายเงิน 137 ล้านดอลลาร์ให้กับอดีตพนักงาน

แม้ว่าบริษัท Tesla จะเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้ในด้านเศรษฐกิจนั้นทุกคนเห็นแต่ข้อดีของบริษัทนี้ แต่ว่าภายในบริษัทกลับมีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไขไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลากรหรือเรื่องปัญหาต่าง ๆ  ซึ่งล่าสุดก็มีปัญหาภายในบริษัทให้เป็นข่าวเป็นคราวอีกครั้ง 

บริษัท Tesla ได้ถูกคณะลูกขุนขอให้จ่ายเงินจำนวน 137 ล้านดอลลาร์ให้กับอดีตพนักงานที่เคยทำงานในบริษัทที่โรงงาน Fremont เนื่องจากได้มีการเหยียดสีผิวภายในที่ทำงาน

โดยพนักงานที่มีชื่อว่า Owen Diaz เป็นพนักงานที่ทำหน้าที่ดูแลลิฟต์อยู่ภายในบริษัทซึ่งเขาได้ทำงานตั้งแต่ในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2015 จนถึงช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2016 ตลอดระยะเวลาที่เขาทำงานเขาเจอกับการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวมาโดยตลอดโดยในโรงงานจะมีภาพกราฟฟิตี้หรือภาพการ์ตูนที่เกี่ยวข้องกับการเหยียดสีผิวรวมไปถึงในห้องน้ำด้วย แถมเพื่อนร่วมงานบางคนยังใช้ถ้อยคำโจมตีในเรื่องนี้อีกด้วยโดยเขาพูดว่า “กลับไปที่แอฟริกาเถอะ” ซึ่งทำให้เขานั้นมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่และมีความเครียดบางวันเขานอนไม่หลับแถมบางทีเขาต้องไปนั่งร้องไห้อยู่ตรงบันไดอีกด้วย ซึ่งหัวหน้างานก็เพิกเฉยกับปัญหานี้ทำให้ทุกอย่างนั้นดูแย่ไปหมดเลยทีเดียว

โดยผู้พิพากษาตัดสินให้ทางบริษัท Tesla จ่ายเงินชดเชยให้กับอดีตพนักงานคนนี้เป็นจำนวนเงิน 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับบทลงโทษ แล้วจำนวนเงินอีก 6.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับผลกระทบทางอารมณ์ที่อดีตพนักงานได้รับ

ซึ่งก็ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัท Tesla ต้องเผชิญกับปัญหาการเหยียดสีผิวและการล่วงละเมิดโดยที่ผ่านมาในโรงงาน Fremont เกิดปัญหาเรื่องนี้อยู่เป็นประจำโดยบริษัท Tesla ก็ได้มีการให้เงินกับอดีตพนักงานคนอื่นเป็นจำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ถึงแม้ว่าทั้งโลกจะช่วยกันแก้ไขปัญหาเรื่องการไม่เท่าเทียม และเรื่องเหยียดสีผิว เชื้อชาติ อยู่เป็นประจำแต่ปัญหาดังกล่าวก็ไม่เคยหมดไป ยังคงมีให้เห็นอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะในสังคมฝั่งตะวันตก โดยเหตุการณ์การเหยียดสีผิว เชื้อชาติ หรือว่าเพศนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายแต่ก็ส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง ยิ่งถ้าเกิดกับบริษัทใหญ่ ๆ พนักงานบางส่วนต้องออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นบริษัทใหญ่ ๆ จึงพยายามออกมาแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยภายในบริษัท ซึ่งก็ต้องติดตามดูว่าทางบริษัท Tesla จะมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้อย่างไร

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Tesla ย้ายสำนักงานใหม่ไปเท็กซัส

Tesla

อีลอน มัสก์ CEO ของบริษัท Tesla ได้มีการประกาศจะย้ายสำนักงานใหม่

ในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี อีลอน มัสก์ CEO ของบริษัทได้มีการประกาศในงานประชุมดังกล่าวว่าทางบริษัทจะย้ายสำนักงานใหม่จากแคลิฟอร์เนียไปที่เท็กซัส ซึ่งเป็นที่ที่บริษัท Tesla นั้นได้สร้างโรงงานใหม่ขึ้นมา

นับตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดโควิดเริ่มต้นบริษัท Tesla ก็ได้รับผลกระทบและไม่สามารถที่จะผลิตรถยนต์ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ที่โรงงาน Fremont เนื่องจากกฎระเบียบในเรื่องของการล็อกดาวของทางรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทางบริษัท Tesla ก็เคยมีปัญหากับทางรัฐบาลมาแล้วเนื่องจากพวกเขาไม่ยอมปิดโรงงานตามคำสั่งล็อกดาวน์นั่นเอง ซึ่งการย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่รัฐเท็กซัสนั้นทำให้ Tesla สามารถดำเนินการผลิตและขยายอัตราการผลิตได้ และที่สำคัญการย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท SpaceX หนึ่งในบริษัทของอีลอน มัสก์ ก็อาจจะทำให้เขาสามารถควบคุมดูแลทั้ง 2 บริษัทได้ง่ายมากขึ้น

นอกจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิดแล้ว อีลอน มัสก์ยังให้เหตุผลของการย้ายสำนักงานใหญ่ครั้งนี้อีกด้วยว่ารัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ในปัจจุบันนี้เป็นเมืองที่ยากลำบากต่อการหาที่พักให้กับพนักงานภายในบริษัทอย่างมากเลยทีเดียว และการย้ายไปที่เท็กซัสทำให้บริษัทเติบโตได้ง่ายกว่า แถมโรงงานยังห่างจากสนามบินเพียงแค่ 5 นาทีและห่างจากดาวทาวน์เพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น

โดยในปัจจุบันนี้ Tesla กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและกำลังอยู่ในเส้นทางการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 1 ล้านคันในปีนี้เรียกได้ว่าเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วมากเลยทีเดียวและรถยนต์ในอนาคตรถยนต์ Tesla นั้นก็จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาอีกด้วย ซึ่งล่าสุดก็ได้มีการทดสอบระบบความปลอดภัยสำหรับการขับขี่รถยนต์อัตโนมัติโดยมีการให้คะแนนการขับขี่ก่อนที่จะเข้าใช้งานระบบดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีปัญหาการเกิดอุบัติเหตุมากมายทำให้ทาง Tesla ต้องกลับมาพัฒนาเรื่องความปลอดภัยของรถยนต์อีกครั้ง

นอกจากบริษัท Tesla แล้วยังมีอีกหลายบริษัทที่ย้ายจากแคลิฟอร์เนียไปที่เท็กซัส โดยข้อดีของรัฐเท็กซัสก็คือค่าครองชีพที่ต่ำกว่ารัฐแคลิฟอร์เนียทำให้สามารถดึงดูดพนักงานได้มากกว่า และยังเป็นที่อยู่ของมหาวิทยาลัยเท็กซัส แถมบริษัทเทคโนโลยีหลายๆ บริษัทที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มาตั้งศูนย์ที่รัฐเท็กซัสเช่นเดียวกัน อีกทั้งปัญหาทางด้านรัฐบาลของรัฐแคลิฟอร์เนียก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทหลาย ๆ บริษัทย้ายมาที่เท็กซัสนั่นเอง สำหรับรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นศูนย์รวมของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลาย ๆ รายไม่ว่าจะเป็น Apple, Google หรือว่า Facebook

ภาพจาก Pexels

ข้อมูลจาก นิวยอร์กไทม์, BBC

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

บริษัท Tesla ขอความร่วมมือให้พนักงานสวมหน้ากากอนามัย

Tesla

อีลอนมัสก์ผู้ที่เป็น CEO ของบริษัท Tesla ได้มีมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด

ถึงแม้ว่าหลาย ๆ พื้นที่ในประเทศสหรัฐจะสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิดได้แล้วแต่ก็ยังคงต้องต่อสู้ต่อไปโดยเฉพาะสายพันธุ์เดียวต้าที่มีความรุนแรงเป็นอย่างมาก และยังมีประชากรในสหรัฐอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับวัคซีนถึงแม้ว่าในประเทศจะมีสิ่งจูงใจเพื่อให้คนในประเทศนั้นเข้ามาฉีดวัคซีนก็ตามที ซึ่งถ้าหากว่ายังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกหนึ่งวิธีการที่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดได้ดีมากที่สุดก็คือการสวมหน้ากากอนามัย

บริษัท Tesla ที่ตั้งอยู่ในรัฐเนวาดาประเทศสหรัฐอเมริกาขอความร่วมมือให้พนักงานที่ยังไม่ได้รับวัคซีนสวมหน้ากากอนามัยในขณะที่ทำงานในบริษัทอยู่และเช่นเดียวกันทางบริษัทก็มีมาตรการสำหรับคนที่ฉีดวัคซีนแล้วด้วย

เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมารัฐบาลของรัฐเนวาดาก็ได้มี Road Map ออกมาเกี่ยวกับการใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดโดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้า โดยทุกคนจำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาในที่สาธารณะ สำหรับยอดผู้ป่วยในช่วงเดือนที่ผ่านมาของรัฐเนวาด้านั้นได้มีการรายงานจาก Johns Hopkins Coronavirus Resource Center ว่าในรัฐเนวาดามียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงถึง 26,000 คนและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวน 298 ราย โดยมีการคาดการณ์ว่าประชากรภายในรัฐจำนวน 47 เปอร์เซ็นต์ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับบริษัท Tesla และอีลอนมัสก์ผู้ที่เป็น CEO ของบริษัทก็ได้มีมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดของโรคตั้งแต่ช่วงที่การแพร่ระบาดเริ่มต้นขึ้นโดยมีคำสั่งให้อยู่บ้านสำหรับผู้ที่ทำงานใน Alameda County รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน Fremont ซึ่งหลังจากการแพร่ระบาดทางบริษัทก็ตัดสินใจที่จะปิดตัวโรงงานชั่วคราวตั้งแต่ในช่วงเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นไปตามมาตรการที่รัฐแคลิฟอร์เนียออกมาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด แต่ว่าทางอีลอนมัสก์นั้นได้มีการร้องขอให้เปิดโรงงานนี้อีกครั้งถึงขั้นมีการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐแคลิฟอร์เนียเลยทีเดียว ซึ่งก็ได้มีการขู่ด้วยว่าเขาจะย้ายไปตั้งสำนักงานใหญ่ที่รัฐเท็กซัส หรือว่ารัฐเนวาด้า แต่ก็เช่นเดียวกันทางบริษัท Tesla ก็ได้มีการละเมิดกฎของฝ่ายปกครองเมือง Fremont โดยการปิดโรงงานช้ากว่ากำหนด 1 สัปดาห์หลังจากมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโลกออกมา

ที่สำคัญเลยก็คือพนักงานบางส่วนที่หยุดทำงานไปยังไม่ได้เงินค่าชดเชยอีกด้วยแถมพนักงานบางส่วนนั้นยังได้รับอีเมลข่มขู่ให้กลับมาทำงานไม่งั้นจะโดนงดจ่ายเงินเดือน และอาจจะไม่ได้รับสิทธิ์สวัสดิการต่างๆ ของบริษัทที่สำคัญเลยอาจจะถูกยกเลิกสัญญาจ้าง

ภาพจาก Pexels

ข้อมูลจาก mgrOnline , The Verge , Marketeeronline

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Tesla จะกลับมารับ Bitcoin ถ้าการขุดใช้พลังงานสะอาด

Tesla

ในช่วงที่ตลาดเงินดิจิตอลกำลังเป็นขาลงก็ได้มีข่าวดีที่เข้ามาช่วยพยุงราคาของเงินดิจิตอลโดยเฉพาะ Bitcoin เอาไว้ไม่ให้มีราคาต่ำลงไปมากกว่านี้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายนก็ได้มีข่าวว่าประเทศเอลซัลวาดอร์นั้นรองรับ Bitcoin ให้เป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมายแล้วซึ่งตอนนั้นก็ทำให้ราคาของเหรียญ Bitcoin มีราคาที่ดีดตัวขึ้นมาบ้าง และในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายนก็ได้มีข่าวดีเข้ามาอีกครั้งทำให้ราคาของ Bitcoin ขยับเขยื้อนขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นข่าวของบริษัท Tesla

บริษัทผลิตรถยนต์ของอีลอนมัสก์ได้มีการประกาศงดรับ Bitcoin เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากการขุด Bitcoin นั้นใช้พลังงานมหาศาลเป็นอย่างมากและอาจจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม

แต่ว่าในค่ำคืนของวันที่วันที่ 13 มิถุนายน 2564 อีลอนมัสก์ก็ได้มีการทวิตในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาว่า “บริษัทTesla จะกลับมารับชำระเงินด้วย Bitcoin อีกครั้ง ถ้าหากว่านักขุดใช้พลังงานสะอาดในการขุดเกินกว่า 50% ของพลังงานทั้งหมด”

ซึ่งจากการทวิตนี้ก็มีส่วนที่ทำให้ราคาของ Bitcoin ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน 2564 นั้นมีการปรับตัวขึ้นจนถึงราคา 1.2 ล้านบาทเลยทีเดียว นอกจากหลานในทวิตเตอร์ของอีลอนมัสก์ก็ยังมีการบอกอีกว่าบริษัท Tesla นั้นได้มีการขาย Bitcoin เป็นเพียงแค่ 10% จากจำนวนทั้งหมดที่ถือครองเพื่อเป็นการยืนยันว่าสภาพคล่องของตลาด ซึ่งจะไม่มีส่วนในการขับเคลื่อนราคาของตลาด (อ้างอิงจาก ทวิตเตอร์ของอีลอนมัสก์)

ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัท Tesla ได้เข้าซื้อ Bitcoin หลังจากนั้นก็ได้ยอมรับการชำระเงินด้วย Bitcoin ทันที และในระยะหลังเขาก็ได้โดนข้อครหาว่ามีส่วนในการปั่นราคาของ Bitcoin ซึ่งก็ถูกโจมตีจากหลาย ๆ ฝ่ายเลยทีเดียว ซึ่งก็ทำให้ราคาของ Bitcoin นั้นลดลง ตัวอย่างเช่นในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเขาได้พูดถึง Bitcoin ว่า “มีการใช้พลังงานจากถ่านหินและซากฟอสซิลเพื่อใช้ในการขุด Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมันเป็นพลังงานที่ไม่ดี”

ซึ่งการกลับลำไปมาของอีลอนมัสก์ทำให้หลาย ๆ คนมองว่าอีลอนมัสก์มีส่วนในการปั่นราคาของเงินดิจิตอลนั่นเอง และนอกจาก Bitcoin แล้วเขายังชื่นชอบในเหรียญ Dogecoin และมักจะมีการทวิตเกี่ยวกับเหรียญ Dogecoin อย่างสม่ำเสมอเลยทีเดียว ในอนาคตก็ต้องมาดูว่าอีลอนมัสก์จะมีอิทธิพลต่อตลาดเงินดิจิตอลมากน้อยเพียงใด

#Tesla #Elonmusk #Bitcoin #การขุดBitcoin #GUรู็ การเงิน  #mee-money.com

ข้อมูลจาก CNBC

ภาพจาก Canva

อีลอน มัสก์ประกาศสามารถใช้ Bitcoin ซื้อสินค้าเทสล่าได้

bitcoin

ในช่วงนี้วงการขอเงินสกุลดิจิตอลนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันอย่างวงกว้างเลยทีเดียวทั้งในแง่ของการลงทุนเพื่อเก็งกำไรหรือทั้งในแง่ของการใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาข่าวที่ดังที่สุดเกี่ยวกับวงการเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin นั้นก็คือการที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเทสล่านั้นได้ประกาศว่าได้ลงทุนใน Bitcoin และทันทีทันใดที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปราคาของ Bitcoin ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างทันตาเห็น

ถึงแม้ว่าในตอนนี้ราคาของ Bitcoin จะปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดและยังไม่เลือกทิศทางว่าจะขึ้นหรือลง แต่ว่ากระแสของมันก็ยังคงอยู่ตลอดเวลา และล่าสุดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเทสล่าที่มีอีลอน มัสก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้จุดกระแส Bitcoin เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่ารับชำระในการซื้อสินค้าด้วยเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin และต้องเสียค่าธรรมเนียมขั้นต่ำจำนวน 100 ดอลลาร์สหรัฐ 

การที่อิลอน มัสก์ประกาศให้สามารถชำระเงินผ่าน Bitcoin ได้ คงทำให้ Bitcoin และเงินสกุลดิจิตอลอื่น ๆ เป็นที่ยอมรับมากขึ้นอย่างแน่นอนเลยทีเดียว หลังจากที่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเงินสกุลดิจิตอลนั้นได้ถูกโจมตีจากหลากหลายคนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นบิล เกตส์ที่มีจุดยืนที่แน่ชัดว่าตัวของเขานั้นไม่สนับสนุน Bitcoin เนื่องจากเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม หรือรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ออกมาบอกว่า Bitcoin นั้นยังไม่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เนื่องจาก Bitcoin นั้นยังไม่สามารถจับต้องได้ 

อย่างไรก็ตามสกุลเงินดิจิตอลนั้นเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดมาใหม่ ยังคงต้องใช้เวลาในการศึกษา ในอนาคตคงจะมีทางออกให้กับเงินสกุลดิจิตอลมากขึ้นอย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเมื่อหาจุดลงตัวของความเห็นที่แตกต่างกันได้แล้วไม่แน่ Bitcoin อาจจะกลายมาเป็นตัวกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศที่ทุกคนให้การยอมรับก็เป็นได้ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องจับตามองก็คือหลังจากที่ข่าวในคราวนี้ถูกแพร่กระจายออกไปราคาของ Bitcoin จะปรับตัวสูงขึ้นไหม

#Bitcoin #Tesla #Elonmusk #marketing #มาร์เก็ตติ่ง  #mee-money.com

ข้อมูลจาก Siamblockchain

“อีลอน มัสก์” ประกาศสามารถใช้ “Bitcoin” ซื้อสินค้าเทสล่าได้

อีลอน มัสก์ประกาศสามารถใช้ Bitcoin ซื้อสินค้าเทสล่าได้

ในช่วงนี้วงการขอเงินสกุลดิจิตอลนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงกันอย่างวงกว้างเลยทีเดียวทั้งในแง่ของการลงทุนเพื่อเก็งกำไรหรือทั้งในแง่ของการใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาข่าวที่ดังที่สุดเกี่ยวกับวงการเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin นั้นก็คือการที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเทสล่านั้นได้ประกาศว่าได้ลงทุนใน Bitcoin และทันทีทันใดที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปราคาของ Bitcoin ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างทันตาเห็น

ถึงแม้ว่าในตอนนี้ราคาของ Bitcoin จะปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดและยังไม่เลือกทิศทางว่าจะขึ้นหรือลง แต่ว่ากระแสของมันก็ยังคงอยู่ตลอดเวลา และล่าสุดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเทสล่าที่มีอีลอน มัสก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้จุดกระแส Bitcoin เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่ารับชำระในการซื้อสินค้าด้วยเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin และต้องเสียค่าธรรมเนียมขั้นต่ำจำนวน 100 ดอลลาร์สหรัฐ

การที่อิลอน มัสก์ประกาศให้สามารถชำระเงินผ่าน Bitcoin ได้ คงทำให้ Bitcoin และเงินสกุลดิจิตอลอื่น ๆ เป็นที่ยอมรับมากขึ้นอย่างแน่นอนเลยทีเดียว หลังจากที่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเงินสกุลดิจิตอลนั้นได้ถูกโจมตีจากหลากหลายคนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นบิล เกตส์ที่มีจุดยืนที่แน่ชัดว่าตัวของเขานั้นไม่สนับสนุน Bitcoin เนื่องจากเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม หรือรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ออกมาบอกว่า Bitcoin นั้นยังไม่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เนื่องจาก Bitcoin นั้นยังไม่สามารถจับต้องได้

อย่างไรก็ตามสกุลเงินดิจิตอลนั้นเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดมาใหม่ ยังคงต้องใช้เวลาในการศึกษา ในอนาคตคงจะมีทางออกให้กับเงินสกุลดิจิตอลมากขึ้นอย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเมื่อหาจุดลงตัวของความเห็นที่แตกต่างกันได้แล้วไม่แน่ Bitcoin อาจจะกลายมาเป็นตัวกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศที่ทุกคนให้การยอมรับก็เป็นได้ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องจับตามองก็คือหลังจากที่ข่าวในคราวนี้ถูกแพร่กระจายออกไปราคาของ Bitcoin จะปรับตัวสูงขึ้นไหม

Cr.ภาพ : Siamblockchain , Wikimedia

ติดตามบทความ Guรู้ การเงิน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ mee-money.com

“Tesla” จะกลับมารับ “Bitcoin” ถ้าการขุดใช้พลังงานสะอาด

Tesla จะกลับมารับ Bitcoin ถ้าการขุดใช้พลังงานสะอาด

ในช่วงที่ตลาดเงินดิจิตอลกำลังเป็นขาลงก็ได้มีข่าวดีที่เข้ามาช่วยพยุงราคาของเงินดิจิตอลโดยเฉพาะ Bitcoin เอาไว้ไม่ให้มีราคาต่ำลงไปมากกว่านี้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายนก็ได้มีข่าวว่าประเทศเอลซัลวาดอร์นั้นรองรับ Bitcoin ให้เป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมายแล้ว

ซึ่งตอนนั้นก็ทำให้ราคาของเหรียญ Bitcoin มีราคาที่ดีดตัวขึ้นมาบ้าง และในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายนก็ได้มีข่าวดีเข้ามาอีกครั้งทำให้ราคาของ Bitcoin ขยับเขยื้อนขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นข่าวของบริษัท Tesla

บริษัทผลิตรถยนต์ของอีลอนมัสก์ได้มีการประกาศงดรับ Bitcoin เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากการขุด Bitcoin นั้นใช้พลังงานมหาศาลเป็นอย่างมากและอาจจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม แต่ว่าในค่ำคืนของวันที่วันที่ 13 มิถุนายน 2564 อีลอนมัสก์ก็ได้มีการทวิตในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาว่า “บริษัทTesla จะกลับมารับชำระเงินด้วย Bitcoin อีกครั้ง

ถ้าหากว่านักขุดใช้พลังงานสะอาดในการขุดเกินกว่า 50% ของพลังงานทั้งหมด” ซึ่งจากการทวิตนี้ก็มีส่วนที่ทำให้ราคาของ Bitcoin ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน 2564 นั้นมีการปรับตัวขึ้นจนถึงราคา 1.2 ล้านบาทเลยทีเดียว

นอกจากหลานในทวิตเตอร์ของอีลอนมัสก์ก็ยังมีการบอกอีกว่าบริษัท Tesla นั้นได้มีการขาย Bitcoin เป็นเพียงแค่ 10% จากจำนวนทั้งหมดที่ถือครองเพื่อเป็นการยืนยันว่าสภาพคล่องของตลาด ซึ่งจะไม่มีส่วนในการขับเคลื่อนราคาของตลาด (อ้างอิงจาก ทวิตเตอร์ของอีลอนมัสก์)

ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัท Tesla ได้เข้าซื้อ Bitcoin หลังจากนั้นก็ได้ยอมรับการชำระเงินด้วย Bitcoin ทันที และในระยะหลังเขาก็ได้โดนข้อครหาว่ามีส่วนในการปั่นราคาของ Bitcoin ซึ่งก็ถูกโจมตีจากหลาย ๆ ฝ่ายเลยทีเดียว

ซึ่งก็ทำให้ราคาของ Bitcoin นั้นลดลง ตัวอย่างเช่นในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเขาได้พูดถึง Bitcoin ว่า “มีการใช้พลังงานจากถ่านหินและซากฟอสซิลเพื่อใช้ในการขุด Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมันเป็นพลังงานที่ไม่ดี”

ซึ่งการกลับลำไปมาของอีลอนมัสก์ทำให้หลาย ๆ คนมองว่าอีลอนมัสก์มีส่วนในการปั่นราคาของเงินดิจิตอลนั่นเอง และนอกจาก Bitcoin แล้วเขายังชื่นชอบในเหรียญ Dogecoin และมักจะมีการทวิตเกี่ยวกับเหรียญ Dogecoin อย่างสม่ำเสมอเลยทีเดียว ในอนาคตก็ต้องมาดูว่าอีลอนมัสก์จะมีอิทธิพลต่อตลาดเงินดิจิตอลมากน้อยเพียงใด

Cr. ภาพ : CNBC , Wikipedia , Canva , Pixabay

ติดตามบทความ Guรู้ การเงิน ได้ทุกสัปดาห์ที่ mee-money.com

ราคา “Bitcoin” ดิ่งหลัง “Tesla” งดชำระเงินด้วย “Bitcoin”

ราคา Bitcoin ดิ่งหลัง Tesla งดชำระเงินด้วย Bitcoin

ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 เป็นต้นมา Bitcoin ก็กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้างและมีราคาสูงขึ้น อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นจุดสนใจทางด้านการลงทุน และในช่วงหลังมานี้ Bitcoin ก็สามารถดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาลงทุนได้

ซึ่งหลังจากที่ผู้คนเริ่มรู้จักกับ Bitcoin และสกุลเงินดิจิตอลมากขึ้น ทำให้ bitcoin นั้นถูกยอมรับมากขึ้น หลาย ๆ บริษัทจึงได้เริ่มมีการรับชำระเงินในการจำหน่ายสินค้าด้วย Bitcoin และหนึ่งในนั้นก็คือบริษัท Tesla ของอีลอน มัสก์

อีลอน มัสก์เป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่ให้การสนับสนุนเงินดิจิตอลมาโดยตลอด และมีการพูดถึงอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยบริษัทรถยนต์ของเขาเองก็ได้มีการเข้าซื้อ Bitcoin และสามารถให้ลูกค้าชำระเงินซื้อรถยนต์จากบริษัทโดยใช้ Bitcoin ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ซึ่งก็เหมือนเป็นต้นแบบให้หลาย ๆ บริษัทนั้นทำตาม หลังจากนั้นบริษัทใหญ่ ๆ ก็เริ่มหันมาสนใจ Bitcoin และเริ่มใเปิดให้ชำระเงินด้วย Bitcoin ได้ ซึ่งก็ทำให้เกิด Bitcoin Fever และผู้คนส่วนใหญ่เริ่มรู้จัก Bitcoin มากขึ้น และราคาของ Bitcoin เองก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาทุกครั้งที่ชายผู้นี้มีการทวิตใน Twitter ส่วนตัว

ซึ่งประโยชน์ของ Bitcoin นั้นมีมากมายในด้านธุรกิจ แต่มันกลับส่งผลเสียกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกเป็นอย่างมาก หลังจากที่บริษัท Tesla เริ่มทำการเปิดบริการชำระเงินผ่าน Bitcoin มาได้ระยะหนึ่ง ก็ได้ทำการงดชำระเงินโดยวิธีทางนี้แล้ว

โดยมีประกาศมาเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 (ซึ่งทางทวิตเตอร์ของอีลอน มัสก์ก็ได้มีการทวีตเรื่องนี้ด้วย) โดยให้เหตุผลว่าการขุด Bitcoin นั้นใช้พลังงานมากเกินไปซึ่งมันได้ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมของโลกนั่นเอง

อย่างไรก็ตามในประกาศของบริษัท Tesla นั้นก็ยังมีการบอกอีกด้วยว่าจะกลับมารับชำระเงินด้วย Bitcoin อีกครั้งเมื่อการขุด Bitcoin ใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อโลก จากประกาศนี้ก็ทำให้ราคาของ Bitcoin ดิ่งลงเหวเลยทีเดียวจากราคา 1,880,000 ลงมาที่ราคา 1,605,000 บาท เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามทางบริษัทก็ไม่ได้ประกาศว่าจะเลิกรับชำระเงินดิจิตอล และก็อาจจะมีแนวโน้มเปลี่ยนจากการชำระเงินด้วย Bitcoin ไปใช้สกุลเงินอื่นแทน ซึ่งก่อนหน้านี้ทางอีลอน มัสก์ที่เป็นเจ้าของบริษัทTesla ก็ได้มีการทวิตเพื่อขอความเห็นจากผู้ติดตาม เกี่ยวกับเรื่องการรับชำระเงินด้วย Dogecoin

Cr. ภาพ : TradingView , Wikipedia , Canva

ติดตามบทความ Guรู้ การเงิน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ mee-money.com

“นันยาง”รับชำระเงินด้วย “bitcoin” และ “Dogecoin”

นันยางรับชำระเงินด้วย bitcoin และ Dogecoin

กระแสการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลอย่าง Bitcoin และเงินสกุลอื่น ๆ นั้น กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงปี 2021 นี้ และกระแสของมันก็กระจายเป็นวงกว้างเสียด้วย ด้วยราคาของเงิน Bitcoin พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้กลายเป็นจุดสนใจของทุกเพศทุกวัย

ถึงแม้ว่า Bitcoin จะกลายเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่มั่นใจในเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin รวมไปถึงสินทรัพย์ดิจิทัลนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ตอนนี้ในประเทศไทยเงินสกุลดิจิตอลยังไม่ถูกยอมรับเท่าที่ควร

และกำลังอยู่ในช่วงปรึกษาหารือการเข้ามาควบคุม เพื่อลดความเสี่ยงในด้านการลงทุนและอื่น ๆ แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนขอเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin ในประเทศไทย ก็ยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ที่จุดประกายแพงความหวังว่า Bitcoin จะเข้ามามีบทบาทในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในประเทศไทย

ในช่วงเดือน 2 เดือนที่ผ่านมานี้ได้มีข่าวเกี่ยวกับโรงหนัง Major Cineplex เริ่มต้นที่จะทดลองรับชำระเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มต้นจากสาขารัชโยธิน และล่าสุดนันยางผู้ผลิตรองเท้าชั้นนำของประเทศไทย

ก็ได้ออกมาประกาศว่าสามารถชำระสินค้าด้วย bitcoin ได้ รวมไปถึงเงินสกุลดิจิตอลอื่น ๆ อย่าง Etherium และ Dogecoin โดยผู้ที่สนใจที่จะชำระเงินโดยโอนเงินสกุลดิจิตอลสามารถทำได้ดังนี้

  • แจ้งความประสงค์ผ่านเพจ Facebook ของนันยาง
  • ระบุสินค้าที่ต้องการรวมถึงสกุลเงินที่ต้องการชำระ
  • ส่งหลักฐานการโอน พร้อมแจ้งที่อยู่ในการจัดส่งสินค้า (รอรับสินค้าไม่เกิน 3 วันทำการ)

การที่มีบริษัทเริ่มให้ชำระเงินด้วยเงินสกุลดิจิตอลนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีอย่างมากสำหรับวงการเงินสกุลดิจิตอล เพราะเป็นสัญญาณที่แสดงถึงว่าผู้ประกอบการบางส่วนนั้นเริ่มที่จะยอมรับเงินสกุลดิจิตอลมากขึ้นนั่นเอง

และถ้ามีบริษัทในประเทศไทยเริ่มที่จะหันมาทดลองชำระเงินด้วยเงินสกุลดิจิตอลแล้วล่ะก็ อนาคตของ Bitcoin และเงินสกุลอื่น ๆ จะต้องสดใสอย่างมากในประเทศไทยแน่นอน และการที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้นอาจจะทำให้ กลต. เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนมากขึ้นก็เป็นได้

ในส่วนของต่างประเทศนั้นเงินสกุลดิจิตอลก็ได้ถูกยอมรับมากขึ้นเช่นเดียวกันหลายๆ บริษัทก็เริ่มที่จะรับชำระเงินดิจิตอลเป็นที่เรียบร้อยแล้วตัวอย่างเช่นบริษัทชั้นนำอย่างเทสล่า

นอกจากนี้ยังมีสายการบิน Airbaltic รวมไปถึงบริษัท PayPal ที่เป็นธนาคารออนไลน์ในตอนนี้ก็ได้เริ่มอนุญาตให้ลูกค้าน้ำสามารถชำระเงินโดยใช้ Bitcoin ผ่าน PayPal ได้แล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตามตอนนี้ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่เห็นว่า Bitcoin เป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นผลเสียต่อโลก สิ่งที่น่าติดตามก็คือในอนาคตข้างหน้าผู้คนที่เห็นด้วยกับเงินสกุลดิจิตอลอย่าง Bitcoin กับคนที่ไม่เห็นด้วยนั้นจะสามารถหาจุดลงตัวกันได้หรือไม่ แล้วถ้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้เงินสกุลดิจิตอลนั้นจะกลายเป็นที่ยอมรับมากขึ้นได้หรือเปล่า

Cr.ภาพ :  Efinance , Pixabay , nanyang

ติดตามบทความ Guรู้ การเงิน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ mee-money.com