Grayscale ชนะ SEC อนาคต Spot Bitcoin ETF เริ่มสดใส

Grayscale ชนะ SEC อนาคต Spot Bitcoin ETF เริ่มสดใส

Grayscale บริษัทกองทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการฟ้องร้องคดีกับ ก.ล.ต.ของประเทศสหรัฐ ว่าด้วยเรื่องการทำ Spot Bitcoin ETF และคำตัดสินของผู้พิพากษาในศาลวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมาก็ตัดสินให้ Grayscale เป็นฝ่ายชนะคดี และมีคำสั่งให้ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกากลับไปทบทวนใบคำร้อง Spot Bitcoin ETF ของ Grayscale ที่ทาง ก.ล.ต.ปฏิเสธไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือยัง เนื่องด้วยศาลมองเห็นว่าโดยที่ก.ล.ต ทำงานตามอำเภอใจ และมีการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากศาลมองว่าก.ล.ตสหรัฐไม่มีเหตุผลเพียงพอว่าทำไมถึงให้ Future Bitcoin ETF ผ่าน แต่กลับไม่ให้ Spot Bitcoin ETF ผ่านจากการยื่นของบริษัทเดียวกัน ซึ่งการตัดสินในครั้งนี้จะมีผลไม่มากก็น้อยกับการพิจารณารับ Spot Bitcoin ETF ที่ยื่นมาภายหลังไม่ว่าจะเป็นกองทุน Blackrock, Fidelity และกองทุนอื่น ๆ

Bloomberg วิเคราะห์โอกาสผ่าน Spot Bitcoin ETF

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

Eric Balchunas จากสำนักข่าว Bloomberg ได้มีการวิเคราะห์ไว้ว่าชัยชนะของ Grayscale ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทกองทุนที่ยื่นใบสมัคร Spot Bitcoin ETF มาภายหลังไม่ว่าจะเป็น Blackrock, Fidelity และกองทุนอื่น ๆ มีโอกาสที่จะถูกอนุมัติผ่านมากถึง 75% แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่ได้มีการระบุระเวลาที่แน่นอน ซึ่งกำหนดการการพิจารณาใบคำร้องของกองทุนต่าง ๆ จะมีเส้นตายของการพิจารณาอยู่ในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า

นอกจากนี้สำนักข่าว CNBC ก็มองว่าโอกาสอนุมัติให้ Spot Bitcoin ETF ก็สดใสเช่นเดียวกัน โดยคาดการณ์ว่ากองทุนที่ได้มีการยื่นใบคำร้องมาจะได้รับอนุมัติในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งตรงกับเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

แต่ถึงแม้ว่าสำนักข่าวต่าง ๆ จะมีมุมมองไปในทิศทางบวก แต่ในคืนวันที่ 31 สิงหาคมต่อเช้าวันที่ 1 กันยายนตามเวลาในประเทศไทย ก.ล.ตสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการประกาศออกมาว่าได้มีการเลื่อนการพิจารณาคำร้อง Spot Bitcoin ETF ในเดือนกันยายนนี้ออกไป ซึ่งการพิจารณาครั้งต่อไปจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ราคาของ Bitcoin ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของก.ล.ต

ภาพ Pexels/Daniel Dan

ในการวิเคราะห์ราคาของ Bitcoin ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คงต้องใช้ข่าว Spot Bitcoin ETF เป็นหลักในช่วงนี้ จากการเลื่อนการพิจารณาในเดือนกันยายนออกไปทำให้ราคาของ Bitcoin ปรับตัวลงมาที่ 26,000 เหรียญ ซึ่งจะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้งในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจจะทำให้ราคาของ Bitcoin มีการขยับตัวอีกครั้งหนึ่ง และไม่แน่อาจจะมีการลากยาวต่อไปจนถึงปีหน้าเลยทีเดียว เพราะในช่วงพิจารณาคำร้องก.ล.ตก็ต้องต่อสู้กับ Grayscale ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาด้วย ซึ่งในปีหน้าก็จะมี Bitcoin halving โดยจะตรงกับวันที่ 5 เมษายนปี 2024 ถ้าหากว่ามีการประกาศรองรับในช่วงต้นปีหน้าบวกกับเหตุการณ์ Bitcoin halving ก็อาจจะทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซี่กลับมาอยู่ใน Bull run อีกครั้ง

ข้อมูลจาก Watcher.Guru , Cointelegraph , Coindesk

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อเมริกายังส่อแววขึ้นดอกเบี้ย พาตลาดคริปโตแดง

อเมริกายังส่อแววขึ้นดอกเบี้ย พาตลาดคริปโตแดง

เมื่อเวลาตี 1 ของวันที่ 17 สิงหาคมได้มีการประชุม FOMC ของธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งคณะกรรมการส่วนใหญ่ของ FED ยังคงมองว่าเงินเฟ้อของประเทศยังคงไม่ไว้วางใจทำให้มีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีกในระยะยาวเพื่อลดเงินเฟ้อ โดยประเทศสหรัฐต้องการที่จะลดเงินเฟ้อให้เหลือเพียงแค่ 2% ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ยในระยะยาว แต่ในการประกาศดอกเบี้ยครั้งหน้าจะยังไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย

แต่การขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดเงินเฟ้อตั้งแต่ในช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เกิดขึ้นจากการที่ในช่วงหลังจากพ้นวิกฤตโรคโควิด ประเทศสหรัฐได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบซึ่งทำให้เกิดเงินเฟ้อ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มเร่งกันแก้เงินเฟ้อโดยขึ้นดอกเบี้ยจาก 0.25% มาเป็น 5.50% ในช่วงปี 2022 ถึงปี 2023 ซึ่งโดยปกติแล้วการขึ้นดอกเบี้ยจะขึ้นให้เทียบเท่ากับอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศปัจจุบันประเทศสหรัฐมีเงินเฟ้อที่ต่ำกว่า 5%

ภาพ Pexels/Pixabay

ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยมาเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ดูเหมือนประเทศสหรัฐอเมริกาจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ทำให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐนั้นกำลังเข้าสู่ช่วงสภาวะถดถอย คนตกงานก็เริ่มมีมากขึ้น ซึ่งในมุมนี้ทางคณะกรรมการก็มีความกังวลอยู่บ้างแต่ก็ยังมองว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งอยู่ ในมุมของวิกฤตธนาคารอาจจะมีเกิดขึ้นอีกในปีนี้หลังจากมีการล่มสลายของแบงก์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีความกังวลในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ มีความเป็นไปได้ว่าความต้องการบ้านและที่พักอาศัยอาจจะลดลงอย่างรุนแรง โดยมันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทประกัน

นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐหยุดนิ่งแล้วการที่มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินเฟ้อ ต่อเนื่องทำให้ส่งผลต่อตลาดทุนด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในสหรัฐหรือตลาดคริปโตก็พากันปรับตัวลงเป็นสีแดง

Bitcoin ETF ยุโรปมาแล้ว แต่ BTC ยังลง

ภาพ Pexels/Daniel Dan

Bitcoin เหรียญคริปโตเคอเรนซี่ที่ใหญ่ที่สุด ได้มีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงที่มีประกาศรายงาน FOMC หลังจากที่ได้มีการวิ่งอยู่ในกรอบตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นมาโดยราคาได้หลุดต่ำกว่า 29,000 เหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงเช้าวันที่ 17 สิงหาคม การปรับตัวลงในครั้งนี้ทำให้เหรียญอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาดมีการปรับตัวตามลงมาด้วยเช่นเดียวกัน และ Bitcoin ก็ยังคงติดแนวต้านที่ 31,000 เหรียญ ต่อไป จุดสำคัญคงเป็น Spot Bitcoin ETF ที่จะทำให้ราคาของ Bitcoin ขยับขึ้น ซึ่งตอนนี้ทางยุโรปก็ได้มีกองทุน Jacobi Bitcoin ETF เป็น Spot Bitcoin ETF ตัวแรกขึ้นมาแล้ว นำทางฝั่งอเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ต้องดูว่าทางฝั่งอเมริกาจะตามมาเมื่อใด ในเมื่อ SEC ยังไม่มีความแน่นอน

ข้อมูลจาก efinanceThai , CNBC ,Investing.com

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มเดินเครื่องขยายธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่โดนฟ้องร้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา Binance ก็เริ่มเบนเป้าไปที่ประเทศอื่นหนึ่งในนั้นก็คือเมืองดูไบของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยทางบริษัทได้ใบอนุญาตชั่วคราวเมื่อเดือนกันยายนปี 2022 และได้รับ ใบอนุญาต MVP (Minimal Viable Product) จาก Virtual Assets Regulatory Authority (VARA) ของดูไบ เมื่อปีที่ผ่านมา โดยใบอนุญาตดังกล่าวทำให้ Binance จะสามารถเปิดบัญชีธนาคารในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พร้อมกับดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่

ภาพ Pexels/Ivan Siarbolin

การดำเนินการเพื่อเปิดธุรกิจเมืองดูไบ Binance ผ่านมา 1 ใน 3 แล้วเหลือเพียงแค่ใบอนุญาตเดียวก็คือ FMP (Full Market Product) ถ้าบริษัทไม่ได้ทำผิดกฎใด ๆ ก็น่าจะได้รับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และ Binance ก็จะสามารถลงหลักปักฐานที่เมืองดูไบได้อย่างไม่ต้องกังวล หลังจากที่บริษัทพยายามจะเจาะตลาดในทวีปยุโรปแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาต

Binance เปิดสาขาญี่ปุ่น

ภาพ Pexels/Arkkrapol Anantachote

นอกจาก Binance จะประกาศชัยชนะที่เมืองดูไบแล้ว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา Binance ก็ได้มีการประกาศเปิดสาขาญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และได้กลายเป็น Exchange คริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่เมื่อ 2 ปีก่อน Binance พยายามที่จะเจาะตลาดของประเทศญี่ปุ่นแต่ก็ได้รับคำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแลในญี่ปุ่น เนื่องจากไม่ทำตามกฎระเบียบที่วางไว้ แต่ Binance ก็พยายามเจาะตลาดญี่ปุ่นอีกครั้งโดยการเข้าซื้อ Sakura Exchange BitCoin และเปลี่ยนเป็น Binance Japan

Binance Japan ได้มีการลิสต์เหรียญให้นักลงทุนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนการจำนวน 34 เหรียญ โดยจะมีเหรียญหลัก ๆ อย่าง Bitcoin, ETH, ADA, BNB, Doge และอื่น ๆ

การที่Binance สามารถที่จะเข้าถึงตลาดแห่งใหม่ได้นั้นทำให้พวกเขาไม่ต้องรับแรงกดดันจากการตรวจสอบของประเทศสหรัฐอเมริกามากเกินไป การตั้งหลักปักฐานในประเทศที่เป็นมิตรกับคริปโตเคอเรนซี่คงเป็นเรื่องที่ดีต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต และป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อบริษัทได้ในระยะยาว

ข้อมูลจาก สยามบล็อกเชน : Binance เตรียมลุยดินแดนสุลต่าน! หลังได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการใน “ดูไบ”

สยามบล็อกเชน : Binance ประกาศเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ พร้อมมีให้เทรดถึง 34 เหรียญ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

จะเทรด Forex ต้องรู้จักกับ Finviz

จะเทรด Forex ต้องรู้จักกับ Finviz

ตลาด Forex ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่นักลงทุนใช้ในการเก็งกำไรกันมาอย่างยาวนานโดย Forex นั้นเป็นสินทรัพย์ประเภทคู่เงิน โดยการเก็งกำไรจะขึ้นอยู่กับการแข่งค่าหรืออ่อนค่าของคู่เงินนั้น ๆ แต่ว่าคู่เงินบนโลกมีมากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USD, AUD, EUR, GBP, JPY และอื่น ๆ คำถามก็คือเราควรเลือกคู่เงินไหนมาเทรดดี ในเมื่อตลาดมีหลายคู่เงินให้เราเลือก

วันนี้จะมาแนะนำเว็บไซต์ที่จะทำให้เพื่อนๆ ที่เป็นนักลงทุนหรือว่านักเทรดมือใหม่สามารถเลือกคู่เงินในการเทรดในตลาด Forex ได้ไม่ยาก และสามารถคาดเดาทิศทางของตลาดได้ง่ายอีกด้วยโดยเว็บไซต์นี้มีชื่อว่า Finviz

ใช้ Finviz ช่วยดูทิศทางตลาด

เว็บไซต์ Finviz เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข่าวสาร สินทรัพย์การลงทุน รวมไปถึงภาพรวมของตลาดไว้ด้วยกันโดยในเว็บไซต์จะมีหน้าต่างของตลาด Forex ให้เราดูได้ด้วย โดยการคลิกที่แถบ Forex ที่อยู่บริเวณด้านบนของเว็บไซต์

เมื่อเข้ามาสู่หน้าภาพรวมตลาด Forex แล้ว เว็บไซต์จะแสดงแผนภาพของราคาคู่เงิน ที่เป็นคู่เงินหลักตัวอย่างเช่น GBP/USD , EUR/USD, JPY/USD และแสดงแถบสี ถ้าเป็นสีเขียวแสดงว่าตลาดกำลังเป็นขาขึ้นแต่ถ้าเป็นสีแดงแสดงว่าตลาดเป็นขาลง ส่วนสีเทาจะหมายถึงตลาด Side Way แต่จุดที่น่าสนใจของหน้าต่าง Forex ในเว็บไซต์ Finviz ก็คือแถบแสดงข้อมูลการแข่งค่าและอ่อนค่าของเงินเมื่อเทียบกับ USD ในหน้านี้เราสามารถใช้ในการวิเคราะห์ทิศทางของราคาได้

หน้าต่างดังกล่าวจะแสดงคู่เงินหลัก ๆ โดยมี US Dollar อยู่ที่กึ่งกลาง ถ้าหากค่าเงินใดแข็งค่าจะขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์สีเขียว แต่ถ้าหากเงินไหนอ่อนค่าก็จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์สีแดง

วิธีการวิเคราะห์ทิศทางของราคาและเลือกคู่เงินสำหรับเทรด

  1. ดูค่าเงินที่มีเปอร์เซ็นต์บวก/ลบ เยอะเมื่อเทียบกับดอลลาร์
  2. ถ้าหากค่าเงินมีเปอร์เซ็นต์บวกและอยู่ด้านซ้ายของดอลลาร์ให้ตีว่าเป็นขาขึ้น เหมาะกับการเล่นหน้า Buy
  3. ถ้าหากค่าเงินมีเปอร์เซ็นต์ที่ติดลบและอยู่ด้านขวาของดอลลาร์ให้ตีว่าเป็นขาลง เหมาะกับการเล่นหน้า Sell

ตัวอย่างเช่นในวันที่ 2 สิงหาคม 2566 จากภาพจะเห็นได้ว่า NZD มีเปอร์เซ็นต์ติดลบสีแดงและอยู่ด้านขวาของดอลลาร์ แสดงว่าถ้าเพื่อน ๆ เล่นคู่เงิน NZD/USD ก็ควรเก็งกำไรในทิศทางขาลง เป็นต้น

สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่าการดูการแข็งค่าและอ่อนค่าของเงินในเว็บไซต์นี้เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่ง ในการคาดเดาทิศทางของตลาด Forex เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับแผนการเทรดหรือแผนการลงทุน และไม่อาจจะถูกต้อง 100% ได้ ดังนั้นเพื่อนๆ ก็ควรควบคุมความเสี่ยงให้ดีด้วยเช่นเดียวกัน

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ก.ล.ต ยังไม่ปล่อยผ่าน Spot Bitcoin ETF ง่าย ๆ

ก.ล.ต ยังไม่ปล่อยผ่าน Spot Bitcoin ETF ง่าย ๆ

เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากองทุนระดับโลกอย่าง Black Rock และ Fidelity และกองทุนอื่น ๆ มีการยื่นใบสมัครเพื่อทำการเปิด Spot Bitcoin ETF ให้กับหน่วยงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับชาวคริปโตอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ถูก ก.ล.ต ปฏิเสธกลับมาเนื่องจากยังมีข้อมูลที่ไม่มีความชัดเจนในเรื่องของแหล่งอ้างอิงราคา Bitcoin

หลังจากใบสมัครถูกปัดทิ้งในครั้งแรก Black Rock ก็ได้มีการยื่นใบสมัครใหม่อีกครั้งโดยคราวนี้ได้กำกับชื่อแหล่งอ้างอิงราคาไว้ด้วยว่าใช้ Coinbase ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่อันดับ 1 ของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งอ้างอิงราคาของ Bitcoin

ข้อตกลงระหว่างบริษัทจัดการกองทุน Black Rock กับ ก.ล.ต ที่ส่งผลไปยัง Coinbase และ นักลงทุน

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

เมื่อบริษัทจัดการกองทุนที่ต้องการจะเปิด Spot Bitcoin ETF ใช้แหล่งอ้างอิงราคาจากศูนย์ซื้อขายอย่าง Coinbase ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปได้อยู่ดี แต่มันก็มีประเด็นให้น่าติดตามอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน ซึ่งมันก็ถูกระบุไว้ในข้อตกลงเพื่อที่จะยอมให้

  1. Surveillance-sharing agreement – เมื่อ Coinbase มีการเซ็นว่าจะเป็นแหล่งอ้างอิงราคาให้กับบริษัทจัดการกองทุนข้างต้นจำเป็นที่จะต้องแชร์ข้อมูลต่างๆ ให้กับ ก.ล.ต เพื่อให้หน่วยงานที่กำกับดูแลสามารถเข้ามาตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆ ภายใน Coinbase ทำให้ยักษ์ใหญ่ของอเมริการายนี้จะตกอยู่สายตาของ ก.ล.ต
  2. Information-sharing agreement – เป็นข้อตกลงที่ Black Rock จะยอมให้ ก.ล.ต เข้ามาตรวจสอบข้อมูลของลูกค้าที่ทำการซื้อ Spot Bitcoin ETF ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อ ที่อยู่ เพื่อเกิดความปลอดภัยกับลูกค้า

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

การที่ Spot Bitcoin ETF จะสามารถผ่านได้นั้น 2 ประเด็นดังกล่าวจะต้องเคลียร์และชัดเจนก่อน แต่มันก็คงต้องใช้เวลาอยู่อีกไม่น้อยเลยทีเดียวโดยเฉพาะในด้านของ Coinbase ที่มีความขัดแย้งกับ ก.ล.ต มาก่อนหน้านี้จนถึงขั้นขึ้นศาลเลยทีเดียว

คดีความต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในช่วงต้นของการพิจารณา ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้เห็นความคืบหน้าของ Spot Bitcoin ETF ในประเทศสหรัฐอเมริกาเร็ว ๆ นี้แน่นอน ซึ่งแตกต่างจากทางฟากฝั่งยุโรปที่ได้มีการขยับเขยื้อนแล้วโดยจะมีการเปิดตัว Spot Bitcoin ETF ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ซึ่งเป็นการเปิดกองทุนจากบริษัท Jacobi Asset Management ที่ได้รับการดูแลโดย Fidelity ยุโรปได้นำไปก่อนแล้ว ต้องมาติดตามกันว่าทางฟากฝั่งอเมริกาจะเดินไปทางไหนต่อไป

ข้อมูลจาก efinancethai , Cointelegraph, Coindesk

ดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก  
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของลูกค้า FTX และ Celcius

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของลูกค้า FTX และ Celcius

ในปี 2022 ที่ผ่านมาเป็นปีที่เลวร้ายสำหรับตลาดคริปโตเคอเรนซี่นอกจากตลาดหมีที่ทำให้ราคาของเหรียญลดลงแล้ว ยังทำให้เราได้เห็นการล่มสลายของศูนย์ซื้อขายรายใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น FTX หรือว่า Celcius ทำให้ลูกค้าที่ใช้บริการ 2 แพลตฟอร์มดังกล่าวนี้สูญเสียเงินไปไม่มากก็น้อย จนถึงตอนนี้คดีความยังอยู่ในชั้นศาลแต่ก็มีแนวโน้มที่ดีมากยิ่งขึ้น และทำให้ลูกค้าที่เป็นผู้เสียหายเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่จะได้เงินคืนมากขึ้น

ภาพ cryptologos.cc

FTX สามารถกู้คืนทรัพย์สินมาได้กว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากการประมาณมูลค่าของทรัพย์สินที่ถูก FTX ยักยอกไปอยู่ที่ประมาณ 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินเฟียตและเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ประเภท Stable Coin ซึ่งสาเหตุเกิดจากการที่ไม่ได้แยกเงินของลูกค้ากับเงินของบริษัทนั่นเอง โดย Sam Bankman-Fried อดีต CEO ได้นำเงินที่ยักยอกไปนี้ใช้ในเรื่องส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเพื่อการกุศลหรือนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวอีกด้วย

แต่เมื่อขึ้นศาล FTX ก็ได้เปลี่ยนมือไปอยู่ในการดูแล John Ray III และเริ่มมีแนวโน้มที่ดีต่อนักลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้มีการประกาศออกมาแล้วว่าสามารถกู้คืนทรัพย์สินได้มูลค่ากว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการกู้คืนเงินได้เกือบเต็มจำนวนที่ถูกยักยอกไปเลยทีเดียว ทำให้เรื่องนี้นั้นเป็นความหวังให้นักลงทุนที่เสียหายกับ Exchange นี้เริ่มมีความหวังที่จะได้เงินบางส่วนกลับคืนมา

ภาพ cryptologos.cc

Farenheit ชนะประมูลเข้าอุ้ม Celcius

Celcius เป็นที่ Exchange คริปโตเคอเรนซี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อย่าง Staking เพราะว่าให้ผลตอบแทนสูง แต่เมื่อตลาดคริปโตเป็นขาลงกลายเป็นว่าบริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินจนถึงขั้นต้องยื่น Chapter 11 ซึ่งการประกาศล้มละลายเมื่อปีที่ผ่านมาก็สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนที่นำเงินไปฝากเพื่อกินดอกเบี้ยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่ได้มีการยื่นล้มละลายก็ได้มีการตั้งกลุ่มคณะกรรมการเจ้าหนี้ รวมถึงหาผู้เข้ามาประมูลเพื่อดูแลบริหารเงินก้อนที่ยังคงเหลืออยู่ในบริษัท Celcius

ท้ายที่สุดก็ได้เป็น Farenheit ชนะการประมูล และจะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลบริหารทรัพย์สินคงเหลือ โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาและมีกลุ่มคณะกรรมการเจ้าหนี้ของ Celsius เป็นเจ้าของบริษัท โดยบริษัท Farenheit จะได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียม

การที่คดีความของ 2 Exchange ยักษ์ใหญ่มีความคืบหน้าทำให้นักลงทุนที่เสียหายน่าจะเบาใจลงได้ไม่มากก็น้อยถึงแม้ว่าในอนาคตอาจจะไม่ได้เงินคืน 100% แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้เงินคืนบางส่วนเช่นเดียวกันโดยคนไทยอาจจะต้องตามข่าวของ Celcius เป็นหลักเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับ Zipmex  ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทย

ข้อมูลจาก Siamblockchain , Bussinesswire

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เมื่อดอลลาร์สหรัฐเริ่มเสื่อมมูลค่าลง

เมื่อดอลลาร์สหรัฐเริ่มเสื่อมมูลค่าลง

ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจระดับโลกแล้วประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจเลยทีเดียว ดูได้จากการเก็บเงินทุนสำรองหรือการค้าขายในระหว่างประเทศที่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐหรือแม้กระทั่งในตลาดของการลงทุนแทบจะทั่วโลกมักขึ้นอยู่กับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของทางประเทศสหรัฐตัวอย่างเช่นตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากแสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศสหรัฐนั้นเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจมันยังแสดงให้เห็นได้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด มันจึงถูกหมุนเวียนไปยังทั่วโลก

ภาพ Pexels/John Guccione www.advergroup.com

แต่ความแข็งแกร่งของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืนได้เท่ากับเมื่อก่อน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ และ หนี้สิน ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐก็เริ่มมีความเสื่อมมูลค่าลง และเราก็สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้อย่างแน่ชัดจากปากของเจเน็ต เยลเลนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการออกมายอมรับว่า เงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะเงินทุนสำรองของโลกนั้นเริ่มมีการลดลง เป็นการล่มสลายของเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างช้า ๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นตัวเธอก็ยังบอกอีกด้วยว่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่

ภาพ Pexels/Pixabay

การที่เป็นเช่นนี้เหตุผลก็คงจะเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจหลายประเทศนั้นขึ้นอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐมากเกินไป เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกามีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจทำให้ส่งผลกระทบต่อประเทศที่ใช้เงินทุนสำรองเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ประเทศบางประเทศจะต้องมองหาทางเลือกใหม่เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว แล้วด้วยเหตุนี้บางประเทศที่เป็นขั้วอำนาจของโลกจึงได้มีการจับมือรวมกลุ่มกันและเริ่มมีการปฏิเสธการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐและหันมาใช้สกุลเงินของตัวเองเป็นทุนสำรองหรือใช้ในการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่นกลุ่ม BRICS ที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนมาใช้หยวนในการติดต่อค้าขายกันระหว่างประเทศแล้วในตอนนี้

เป็นที่น่าสนใจเลยทีเดียวว่าในอนาคตสุดท้ายแล้วดอลลาร์สหรัฐจะสามารถเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้อีกนานแค่ไหน จะมีเงินสกุลอื่นขึ้นมายึดครองตำแหน่งได้หรือไม่ และถ้าได้จะเป็นเงินในสกุลใด แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงเศรษฐกิจของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปทิศทางใด

ข้อมูลจาก Marketinsider

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Regulatory Risk ความเสี่ยงที่นักลงทุนคริปโตต้องระวัง

Regulatory Risk ความเสี่ยงที่นักลงทุนคริปโตต้องระวัง

สำหรับคนที่ลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ ก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตลาดนี้มีความเสี่ยงในการลงทุนมากเพียงไหน ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ผันผวน การเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน โปรเจคฉ้อโกง รวมไปถึงความมั่นคงของ Exchange และความนิยมที่มาไวไปไว สำหรับใครที่อยู่ในตลาดคริปโตตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาคงจะได้ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเสี่ยงทั้งหมดที่ตลาดคริปโตจะได้รับ ในปีนี้นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลจะต้องเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่มีชื่อว่า “Regulatory Risk

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

Regulatory Risk เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐบาล เมื่อหน่วยงานรัฐบาลที่ต้องคอยกำกับดูแลตลาดการลงทุน เห็นว่าตลาดคริปโตเคอเรนซี่นั้นมีอิสระมากเกินไป กฎเกณฑ์ข้อบังคับยังไม่ครอบคลุม และยังมีการทำผิดกฎหมายอยู่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อนักลงทุน จึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาดูแลเพื่อความปลอดภัยของนักลงทุน เราเห็นเรื่องนี้ได้ชัดจาก ก.ล.ต ของประเทศสหรัฐอเมริกา

ก.ล.ต สหรัฐที่นำโดย Gary Gensler มักจะพูดถึงการลงทะเบียนหลักทรัพย์ขอคริปโตอยู่เสมอโดยเจ้าตัวนั้นอ้างว่าเหรียญหลายเหรียญในตลาดคริปโตเป็นหลักทรัพย์ตัวอย่างเช่น XRP, ADA, SOL, MATIC , SAND, AXS และ NEAR และกำลังทำผิดกฎเนื่องจากไม่มีการมาลงทะเบียนกับก.ล.ต แต่ทางฟากฝั่งของผู้พัฒนาเหรียญก็ได้ออกมาพูดเช่นกันว่าเหรียญที่เขาพัฒนาขึ้นมาเป็นสินค้าไม่จำเป็นที่จะต้องไปลงทะเบียน ทำให้เป็นคดีขึ้นมากลายเป็น Regulatory Risk ที่นักลงทุนไม่อาจเลี่ยงได้ โดยคดีที่กำลังฟ้องร้องอยู่และต้องจับตามองก็คือคดีของ XRP

ภาพ Pixabay/vjkombajn

XRP เป็นเหรียญที่ถูกฟ้องร้องเมื่อปี 2020 ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงการพิจารณาคดีก่อนจะตัดสินว่าแท้จริงแล้ว XRP เป็น Commodity (สินค้า) หรือ Security (หลักทรัพย์) และผลของคำตัดสินที่ออกมานั้นจะส่งผลไปเหรียญต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือราคา ทำให้กลายเป็น Regulatory Risk ที่นักลงทุนต้องระวังให้ดีง ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดคริปโตจะต้องคอยจับตาดูข่าวการตัดสินของ XRP ให้ดีเพราะมันจะส่งผลต่อเหรียญอื่น ๆ ในตลาดอย่างแน่นอน ทำให้มันกลายเป็น และอาจจะเป็นการตัดสินด้วยว่าสุดท้ายแล้วตลาดคริปโตเคอเรนซี่อยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานใดระหว่าง CFTC กับ SEC ในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนนักลงทุนก็ต้องปรับความเสี่ยงและปรับพอร์ตการลงทุนให้ดีเพื่อรองรับกับผลที่จะเกิดขึ้น

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ประเทศสหรัฐเตรียมออกกฎเกณฑ์ดูแลเงินดิจิตอล

ประเทศสหรัฐเตรียมออกกฎเกณฑ์ดูแลเงินดิจิตอล

ขณะที่เงินดิจิตอลหรือคริปโตเคอเรนซี่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นรัฐบาลหลายๆ ประเทศก็กำลังหาทางออกเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อจะใช้ในการควบคุมและกำกับดูแลเงินดิจิตอลแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ในหลายประเทศยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะมีการพูดถึงบ้างในหลาย ๆ ประเทศแต่ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง

ภาพจาก Pixabay

ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผู้คนจำนวนมากรวมไปถึงมหาเศรษฐีหลายรายสนใจในคริปโตเคอเรนซี่ บางรัฐก็มีการสนับสนุนอย่างเป็นจริงเป็นจังเลยทีเดียว แต่ว่าตอนนี้ในประเทศอเมริกาก็ยังไม่มีกฎหมายออกมาเพื่อควบคุมดูแลเช่นกัน สำนักงานบัญชีกลางสกุลเงิน (Office of the Comptroller of the Currency) และหน่วยงานที่ให้การประกันเงินฝากให้ผู้ฝากเงินในสถาบันรับฝากเงินของสหรัฐ ( Federal Deposit Insurance Corporation ) ก็กำลังวางแผนที่จะวางกฎเกณฑ์และกฎระเบียบของเงินคริปโตเคอเรนซี่ให้ชัดเจนในช่วงปี 2022 นี้หลังจากที่ได้มีการวางแผนและหาวิธีการต่าง ๆ มาตั้งแต่ในช่วงปี 2020 จนถึงปี 2021 ที่ผ่านมา

ซึ่งกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้นจะเน้นไปในเรื่องของการธนาคารเสียมากกว่าประชาชนที่มีการถือครองคริปโต โดยกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะเป็นตัวชี้แนวว่าธนาคารสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อต้องการถือครองคริปโตเคอเรนซี่ การอนุญาตให้คนภายในประเทศรับเงินดิจิตอล การใช้งาน Stablecoin และการกู้เงินคริปโตเคอเรนซี่รวมไปถึงการบันทึกค่าเงินบัญชีด้วย วัตถุประสงค์ของการออกกฎหมายดังกล่าวก็คือเพื่อปกป้องนักลงทุน แล้วเพื่อให้ธนาคารสามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ก่อนหน้านี้ทางสำนักงานบัญชีกลางสกุลเงินประเทศสหรัฐได้อนุญาตให้ธนาคารสามารถถือครองคริปโตสำหรับลูกค้าได้ ใช้งาน Stablecoin ได้ แต่ต้องกระทำด้วยความปลอดภัยและความรับผิดชอบ

ภาพจาก Pixabay

สิ่งที่น่าติดตามเลยก็คือตัวบทกฎหมายนั้นจะออกมาเป็นเช่นไรในช่วงปีหน้า เพราะว่ากฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นแม่แบบให้หลาย ๆ ประเทศที่ยังไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเงินดิจิตอลนำไปทำตามภายในประเทศนั่นเอง

ภาพจาก Pixabay

เมื่อหันกลับมามองกฎหมายเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทยในตอนนี้แม้กระทั่งกฎหมายการจัดเก็บภาษีที่ดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้จริง โดยจากข่าวคราวที่ผ่านมาได้มีข่าวว่าในการเก็บภาษีคริปโตนั้นจะต้องหักจากกำไร 15% แล้วยังต้องมีการชำระในช่วงปลายปีอีกด้วย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาแล้วก็ยังไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากไม่รู้ว่าทุก ๆ คนที่ทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายในตลาดจะมีการได้กำไรหรือขาดทุนเป็นจำนวนเท่าใด ถ้าหากจะตั้งเป็นโปรแกรมให้อยู่ภายในตลาดซื้อขายของแต่ละแพลตฟอร์มก็เป็นเรื่องยากเพราะว่าถ้าเกิดขาดทุนแล้วมีการหักภาษีก็จะเป็นผลเสียต่อนักลงทุนนั่นเองอย่างไรกฎหมายดังกล่าวในประเทศไทยก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เวปไซด์ mee-money.com

และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

เก็บเงินล้านแรกด้วยการลงทุน

เก็บเงินล้านแรกด้วยการลงทุน

   การจะเก็บเงินล้านแรกไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่มีความมุ่งมั่นและความอดทนต่อเป้าหมายที่ชัดเจนและลงมือทำตามเป้าหมายเท่านั้น ถึงจะสามารถประสบความสำเร็จด้านการเงินได้ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการเก็บเงินล้านแรกมาฝากกันไปดูกันเลย

Cr.pic; https://www.set.or.th/

1.เปลี่ยนmind set หรือวิธีคิด เป็นออมก่อน จ่ายทีหลัง เราต้องมีเงินเหลือเก็บทุกเดือน โดยเราจะตัดเงินออมผ่านบัญชีธนาคารเป็นประจำ สะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กอช เป็นกองทุนการออมเงิน เพื่อผู้ที่ทำอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์ นักธุรกิจ ผู้ที่มีสิทธิ์ออม อายุ 15-60 ปีขึ้นไป ส่งเงินสะสม ผ่านแอพลิเคชั่นของกอช.หรือ ธ.ออมสิน ธ.ก.ส. ธ.กรุงไทย ไม่จำเป็นต้องส่งเงินออมทุกเดือน

ไม่จำเป็นต้องส่งเงินจำนวนเท่าๆกัน แถมรัฐบาลยังมีจ่ายเงินสมทบให้ ตามช่วงอายุ ถ้าอายุ 15-30 ปีจะเพิ่มเงินสมทบให้คุณไม่เกิน 600 บ./ปี  ถ้าอายุมากกว่า 30-50 ปี จะจ่ายเงินสมทบ 960 บ./ปี อายุ 50 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 1200 บ./ปี มีสิทธิ์ได้รับเงินสมทบ เมื่ออายุครบ 60 ปี และเสียชีวิต ถ้าลาออกจากกองทุนก่อนครบกำหนดอายุ จะไม่ได้รับเงินสมทบ /ประกันสังคม / กบข. เป็นกองทุนออมเงินสำหรับราชการ มีแผนให้เลือกลงทุนหลากหลาย เพื่อชีวิตยามเกษียณของเรา และลดความเสี่ยงด้วยการออมเงินผ่านประกันชีวิต

Cr.pic; https://www.set.or.th/

2.ลงทุนเพิ่มมูลค่า ให้ตัวเอง อย่าหยุดที่จะพัฒนาความสามารถของตนเอง เราต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองในทุกๆวัน เก่งขึ้นวันละ 1% อย่างสม่ำเสมอ เพราะการเรียนรู้ จะช่วยสร้างประสบการณ์ การที่เรามีประสบการณ์สูงนั้น ได้เปรียบกว่าคนที่ได้เกียรตินิยมเสียอีก อย่างน้อยก็เป็นบทเรียนชีวิตให้พัฒนาตัวเองต่อไป

Cr.pic; https://www.set.or.th/

3.อย่าเผลอใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้เงินอย่างมีสติ หากต้องการประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง อย่าหลงไปกับสิ่งฉาบฉวย ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะความสุขความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตต้องดูกันยาวๆ  เพราะฉะนั้นการออมก่อนใช้ เป็นกฎเหล็กที่คนอยากมีเงินเก็บต้องทำ และต้องรู้จักประมาณตนอยู่อย่างพอเพียง และต้องรู้จักนำเงินออมมาบริหารจัดการ สร้างผลตอบแทน

Cr.pic; https://www.set.or.th/

4. การลงทุนที่ดี   การบริหารชีวิตได้แบบองค์รวม การลงทุนที่ดี เราจะต้องมีความสุขในการใช้ชีวิตด้วย ทั้งสุขภาพกายและใจ ความสัมพันธ์ในครอบครัวและคนรอบข้าง รวมถึงมีเวลาทำงานอดิเรก ได้ทำงานที่ตนเองรักด้วย บางครั้งผลตอบแทนที่คุ้มค่าอาจไม่ได้มาในรูปแบบของเงินเสมอไป แต่ความสุขและความทรงจำดีๆ ก็นับเป็นกำไรของชีวิตที่มีค่ามหาศาลแล้ว

  เป้าหมายทางด้านการเงิน เป็นเป้าหมายที่หลายๆคน ตั้งไว้ช่วงปีใหม่ เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว อย่าลืมลงมือทำ และใส่ใจคนรอบข้างด้วยนะคะ เหมือนที่บางคนเคยบอกว่า อย่าลืมชมดอกไม้ข้างทาง เราอาจจะไปถึงเป้าหมายช้าหน่อย แต่ระหว่างทางเดินของเรานั้นเรามีความสุขกับมัน เพราะบางครั้ง เราอาจจะไปถึงเป้าหมายแล้ว จะกลับมาดูดอกไม้ข้างทางก็สายเกินไปซะแล้ว

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook