จากบทความตอนที่ 1 ที่ทิ้งท้ายไว้เรื่องการตั้งคำถามและให้คำตอบกับตัวเองของมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง อีลอน มัสก์ ที่ว่า “ชีวิตนี้ฉันเกิดมาเพื่อรักษาการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ”นั้น ใครจะไปเชื่อว่าเมื่อโตขึ้นมาเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีหมดเลย เริ่มตั้งแต่บริษัทที่เป็นระบบชำระเงินของโลก เวลาซื้อของข้ามประเทศ บริษัทของเขาก็จะเป็นตัวกลางที่โอนเงินข้ามประเทศไปมา และเป็นธุรกิจนี้ที่ทำให้อีลอน มัสก์ ร่ำรวยมากๆ
แต่สุดท้ายเขาก็ขายกิจการบริษัทนี้ไป เพื่อเอาเงินที่ขายได้มาสร้างจรวดบินไปในอวกาศ จนในที่สุดบริษัทเอกชนของเขาก็เป็นบริษัทแรกของโลกที่สามารถพานักบินไปกลับระหว่างสถานีอวกาศและโลกได้ คุณเห็นไหมว่าการตั้งคำถามที่ถูกต้องมันเปลี่ยนชีวิตคุณได้มากแค่ไหน? และถ้าคุณกำลังคิดว่า แล้วฉันจะตั้งคำถามยังไงให้ชีวิตเพื่ออนาคตไปได้ไกล

คุณลองฟังประโยคนี้ของ เลส บราวน์ เขาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก แล้วคุณจะได้แนวคิด เพราะเขาพูดว่า “หากคุณกำลังจะตายในวันนี้ รอบตัวของคุณมีแต่วิญญาณที่รายล้อมเตียงของคุณ วิญญาณแห่งความคิด วิญญาณแห่งความสามารถ วิญญาณแห่งพรสวรรค์ที่มอบให้คุณ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่คุณไม่เคยทำตามความฝันเหล่านั้นเลย ไม่เคยทำตามความคิด ไม่เคยทำตามพรสวรรค์เหล่านั้น เขาเหล่านั้นกำลังมองมาที่คุณอยู่ตอนนี้ แล้วบอกคุณว่าคุณเท่านั้นที่สามารถให้ชีวิตกับเขาได้ และตอนนี้เขากำลังจะตายไปพร้อมกับคุณตลอดกาล”
คำถามคือ ถ้าคุณจะต้องตายในวันนี้จริงๆ ความสามารถ ความฝัน พรสวรรค์อะไรที่ต้องตายไปพร้อมกับคุณ คุณอ่านแล้วคุณคิดว่าอย่างไร ? นั่นคือแนวคิดในการที่คุณต้องตั้งคำถามที่สำคัญกับตัวคุณเอง

ข้อที่ 3 เปลี่ยนเป็นคนที่ทำทุกอย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้อารมณ์
นิสัยข้อนี้ เป็นท่าไม้ตายที่คนประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคนใช้กันบ่อยมาก เพราะคุณรู้ไหมว่า เรื่องนี้มันคือศัตรูที่ขัดขวางความสำเร็จของคนจำนวนมาก จากการวิเคราะห์ชายหญิงจำนวน 25,000 คน ที่ประสบความล้มเหลว
มีผลสรุปในการทำวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การไม่ยอมตัดสินใจ เป็นสาเหตุอันดับต้นๆที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในชีวิต เรื่องนี้มันเป็นความจริง และการผัดวันประกันพรุ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามของการจัดสินใจ เป็นศัตรูที่ทุกคนต้องเอาชนะมันให้ได้
ลองมาดูอีกฝั่งหนึ่ง จากการวิเคราะห์คนหลายร้อยคนที่มีทรัพย์สมบัติเกินว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ความจริงที่เห็นก็คือ คนรวยเหล่านั้นทุกคนมีนิสัยตัดสินใจทันทีและเปลี่ยนใจช้ามาก หมายความว่าคนที่เขาสำเร็จในชีวิต เขาจะไม่รอให้อารมณ์มาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจลงมือทำ คุณอาจจะเคยได้ยินศิลปินบางคนพูดว่า เดี๋ยวอารมณ์มาแล้วค่อยลงมือทำ
แต่ความจริง ศิลปินก็มี 2 แบบ คือศิลปินไส้แห้งกับศิลปินที่ร่ำรวย ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดของ สตีเวน คิง นักเขียนนิยายเขย่าขวัญชาวอเมริกัน เขาก็เป็นศิลปินนักเขียนนิยายที่โด่งดังมากๆ เป็นนักเขียนที่ถูกจัดอันดับว่ามีรายได้ระดับต้นๆของโลก และเขาก็เคยพูดว่า “ในหลายๆครั้งผมก็ลงมือเขียนหนังสือโดยไม่มีอารมณ์ และเมื่อย้อนกลับไปอ่านดูอีกครั้งผมก็แยกไม่ออกว่า งานเขียนตอนไหนที่ทำตอนมีอารมณ์ หรือทำตอนไม่มีอารมณ์” นั่นแสดงให้เห็นว่า การที่สมองจะไหลลื่นมากที่สุดไม่ใช่ตอนที่นั่งรออยู่เฉยๆ แต่มันจะเริ่มตอนที่เราได้ลงมือทำไปแล้วสักระยะหนึ่ง จำได้ว่าทฤษฎีเรื่องนี้มาจาก “คุณขุนเขา” นักจิตวิทยาทางด้านสมอง
ดังนั้นคุณจะเห็นภาพชัดว่า คนที่ร่ำรวยคือ คนที่ตัดสินใจเร็ว แต่เปลี่ยนใจช้า เมื่อตัดสินใจเร็ว สมองก็เลยลื่นไหล และการที่เปลี่ยนใจช้าก็เพราะว่า เขาทำงานนั้นได้นานมากพอที่จะไม่เปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่น ฉะนั้นการตัดสินใจทำ เหมือนกับการปาจรวดกระดาษ ไม่จำเป็นต้องรอดินฟ้าอากาศ จรวจก็สามารถร่อนไปข้างหน้าได้ ด้วยธรรมชาติของมัน
ดังนั้นทั้งหมดนี้จำง่ายๆไว้ให้ขึ้นใจว่าว่านิสัย 3 ข้อที่คุณต้องเปลี่ยนและฝึกเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้น และก้าวไปข้างหน้าได้เร็วกว่าใครก็คือ
1.คำพูดที่ออกจากปากคือ อนาคตของคุณ
2.ถ้าคุณตั้งคำถามที่ใช่ คุณจะได้คำตอบที่เปลี่ยนชีวิต
3.ทำทั้งๆที่ไม่มีอารมร์ เพราะเดี๋ยวอารมณ์จะมาตอนที่ลงมือทำ
เริ่มเปลี่ยนตัวเองให้เปฌนคนเก่งนับตั้งแต่ตอนนี้ได้เลบ
ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง
เวปไซด์ mee-money.com