รถยนต์ Daymak ขุด Crypto ได้

รถยนต์ Daymak ขุด Crypto ได้!

เทคโนโลยีในโลกของเราเริ่มก้าวล้ำจนเราไม่สามารถจินตนาการได้แล้ว หลังจากในปีนี้โลกของการเงินได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยการที่กระแสของเงินดิจิตอลหรือว่า Cryptocurrency เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อโลกของการเงินมากขึ้น และก็ได้ถูกพูดถึงมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาด้วยราคาที่สูงขึ้นทำให้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น และก็ทำให้คนหันมาทำกำไรกับตลาดเงินดิจิตอลมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกันซึ่งนอกจากการซื้อขายแล้วก็สามารถทำการขุดเพื่อที่จะเงินดิจิตอลสกุลต่าง ๆ มา

ภาพจาก Canva

สำหรับการขุดนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้การ์ดจอที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมากในการเร่งหรือการเพิ่มปริมาณการขุด ซึ่งในตอนนี้ก็กำลังเป็นเทรนที่หลายคนนั้นกำลังทำกัน โดยคนที่มีเงินจำนวนมากก็จะใช้การ์ดจอจำนวนมากในการขุด ซึ่งการที่คนจำนวนมากหันมาใช้วิธีการขุดเงินดิจิตอลมากขึ้นนั้นทำให้อุปกรณ์อย่างการ์ดจอขาดตลาดและมีราคาที่สูงขึ้น นอกจากจะมีการ์ดจอจะมีราคาสูงขึ้นการขุดเงินที่เท่านั้นยังถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งมันก็ทำให้วงการเงินดิจิตอลนั้นถูกมองในแง่ร้ายมากขึ้น แต่ในอนาคตเรามีทางเลือกมากขึ้นในการขุดเงินดิจิตอล โดยในอนาคตจะมีรถยนต์ที่สามารถกดเงินดิจิตอลได้แล้ว

ภาพจาก Daymak

รถยนต์ไฟฟ้า “Spiritus” เป็นรถยนต์ที่จะถูกผลิตออกมาในปี 2023 โดยบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสัญชาติแคนาดาที่มีชื่อว่า “Daymak” ซึ่งความพิเศษของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ก็คือสามารถขุด Bitcoin รวมถึงเงินดิจิตอลสกุลอื่น ๆ ได้ ในขณะที่รถกำลังใช้ไฟฟ้าและจอดอยู่ ที่สำคัญทางบริษัทยังยืนยันอีกว่ารถยนต์คันนี้จะใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาความสิ้นเปลืองพลังงานของการขุดเงินดิจิตอลเลยทีเดียว ที่สำคัญเลยก็คือ Spiritus สามารถสั่งจองได้แล้ว และสามารถชำระเงินด้วย Cryptocurrency ได้ โดยเหรียญที่รับชำระมีดังนี้ Dogecoin, Bitcoin, Ethereum และ Cardano

ภาพจาก Daymak

รถยนต์ไฟฟ้า Spiritus จะมีทั้งหมด 2 รุ่นได้แก่รุ่น Deluxe และรุ่น Ultimate ซึ่งจะมีราคาที่แตกต่างกัน เริ่มจากรุ่น Deluxe จะมีราคาโดยประมาณอยู่ที่ 622,644 บาท  (19,995 USD) และรุ่น Ultimate มีราคาโดยประมาณอยู่ที่ 4,639,860 บาท (149,000 USD) ซึ่งประสิทธิภาพและศักยภาพของรถยนต์ก็จะมีความแตกต่างกันตามรุ่นและราคาที่ได้ประกาศออกมา

ข้อมูลจาก Siamblockchain

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

แพลตฟอร์ม KillSwitch ทำให้ DeFi เป็นเรื่องง่าย

KillSwitch

DeFi (Decentralized Finance) เป็นระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ไร้ศูนย์กลาง

DeFi (Decentralized Finance) เป็นระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ไร้ศูนย์กลาง ที่อนุญาตให้นักลงทุนเข้าไปฝากเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มที่นำเงินไปลงทุนและรับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย รวมถึงนำเงินไปปล่อยกู้ในรูปแบบเงินดิจิตอลเพื่อรับดอกเบี้ยได้ด้วย ซึ่งดอกเบี้ยที่จะได้รับก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละเหรียญที่นำไปลงนั่นเอง ยิ่งเสี่ยงมากก็มีโอกาสที่จะขาดทุนสูงแต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลกำไรสูงเช่นเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้มีแพลตฟอร์มเกิดขึ้นมากมายเลยทีเดียวบนโลกของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถเข้าไปเลือกได้ตามใจชอบ

แต่สิ่งที่สำคัญเลยก็คือการเข้าถึงโลก DeFi เป็นเรื่องที่จะทำความเข้าใจยากมากสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่ยังไม่เคยรู้จัก DeFi มาก่อน เพราะงั้นสำหรับมือใหม่การเข้ามาในโลกนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากเลยทีเดียว และแถมพอเข้าสู่โลกของ DeFi ได้แล้ว ก็ยังมีอีกหลายขั้นตอนมากมายก่อนที่จะสามารถนำเงินไปฝากหรือปล่อยกู้ได้ทำให้ความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงการทำขั้นตอนข้างต้น และที่สำคัญที่สุดในแต่ละขั้นตอนในการนำเงินเข้าไปฝากหรือปล่อยกู้เป็นขั้นตอนที่จะมีการเสียค่า Gas หรือค่าธรรมเนียมให้กับทางบล็อกเชนที่เรานำเงินไปฝากอีกด้วยทำให้ถ้าทำผิดขั้นตอนอาจจะเสียเงินไปฟรี ๆ ได้เลย แต่ไม่ต้องตกใจไปตอนนี้มีแพลตฟอร์มเกิดขึ้นใหม่ที่จะทำให้ DeFi เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นโดยแพลตฟอร์มมีชื่อว่า KillSwitch Finance

KillSwitch Finance เป็นแพลตฟอร์ม DeFi ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากและเหมาะสำหรับมือใหม่เนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยลดขั้นตอนในการนำเงินไปฝากเพื่อนับดอกเบี้ยให้กับนักลงทุนให้เหลือเพียงแค่การคลิกเพียงแค่คลิกเดียวเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอน ๆ ในการฝากและถอนคู่เหรียญให้กับนักลงทุนได้มากเลยทีเดียว และที่สำคัญเลยก็คือยังสามารถเปลี่ยนคู่เหรียญให้กับนักลงทุนอีกด้วยถ้าหากว่านักลงทุนต้องการที่จะนำเงินไปฝากที่คู่เหรียญอื่น แถมในเรื่องของการทบต้นทบดอกเพื่อรับเงินเพิ่มขึ้นแพลตฟอร์ม KillSwitch Finance ก็มีฟังก์ชันทบต้นทบดอกให้กับนักลงทุนทำให้สามารถลดขั้นตอนในส่วนนี้ลงไปได้อีก เรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับนักลงทุน DeFi หน้าใหม่มากเลยทีเดียว และช่วยให้การลงทุนในโลกของ DeFi เป็นเรื่องที่สนุกมากขึ้น ที่สำคัญเลยในอนาคตแพลตฟอร์มยังจะมีโครงการมาเพิ่มอีกมากมายเลยทีเดียว ซึ่งใครสนใจสามารถอ่านรายละเอียดอื่น ๆ นั้นสามารถเข้าไปดูได้ที่ KillSwitch

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเชื่อมต่อกับ KillSwitch Finance นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องมีกระเป๋าเงินดิจิตอลเสียก่อนซึ่งปัจจุบันนี้ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ Metamask เมื่อมีกระเป๋า Metamask แล้วสิ่งที่จำเป็นก็คือการเชื่อมต่อไปที่บล็อกเชนของ KillSwitch Finance โดยสามารถใช้บล็อกเชนของ Binance Smart Chain หรือ Polygon Mainnet ซึ่งขั้นตอนการเชื่อมต่อบล็อกเชนนั้นสามารถหาดูได้จาก YouTube ได้เลย และที่สำคัญเลยก็คืออย่าทำรหัสกระเป๋าหายเพราะว่าอาจจะสูญเสียเงินทั้งหมดก็เป็นได้ดังนั้นรหัสกระเป๋าควรจดไว้ให้ถูกต้องและไม่ผิดพลาดเพื่อใช้ในการกู้กระเป๋าถ้าหากว่ามีการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์มือถือ สุดท้ายก็คงต้องขอย้ำว่าถึงแม้ว่าจะได้รับผลตอบแทนแต่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นเดียวกันดังนั้นต้องมีความรอบคอบในการลงทุนให้ดีมากด้วย

ภาพ Screenshot จาก KillSwitch Finance

ข้อมูลจาก KillSwitch Official

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

บริษัทยักษ์ใหญ่ Amazon กับเงินคริปโตเคอเรนซี่

Amazon

หลังจากที่ตลาดเงินดิจิตอลนั้นได้รับข่าวที่ไม่ค่อยดีมาอย่างต่อเนื่องซึ่งก็ส่งผลให้ราคาของเงินดิจิตอลสกุลต่าง ๆ ในตลาดนั้นลดลงอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนั้นราคาของเงินดิจิตอลนั้นก็ได้กลับขึ้นมาเขียวอีกครั้งหลังจากที่ผ่านการประชุม B World ซึ่งเป็นงานประชุมที่พูดถึงเงินดิจิตอลโดยเฉพาะ Bitcoin จาก 3 ผู้สนับสนุนเงินดิจิตอลได้แก่ Jack Dorsey, Elon Musk และ Cathy Woods และตลาดนั้นก็ยังเป็นสีเขียวต่อเนื่องและข่าวที่น่าสนใจอีกข่าวนึงที่ทำให้ตลาดเงินดิจิตอลขึ้นสีเขียวก็คือข่าวของ Amazon บริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกากับเงินดิจิตอลนั่นเอง

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 ได้มีข่าวคราวเกี่ยวกับบริษัท Amazon ในเรื่องการรับชำระเงินด้วย Bitcoin และจะมีการเริ่มหันมาสนใจในเงินดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทมีแผนการที่จะรับชำระเงินในช่วงปีหน้า ซึ่งก็ได้มีการเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ที่มีความรู้เกี่ยวกับทางด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อมาพัฒนา Digital and Emerging Payments ให้กับ Amazon ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว และก็ได้มีการรับสมัครงานในตำแหน่งหัวหน้าด้านสกุลเงินดิจิตอลและบล็อกเชนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หลังจากข่าวนี้ออกมาก็ทำให้ราคาของ Bitcoin นั้นพุ่งสูงขึ้นจน นั้นพุ่งสูงขึ้นจนแตะที่ราคาประมาณ 1.28 ล้านเลยทีเดียว

แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ทันผ่านพ้น 24 ชั่วโมงไปสำนักข่าวรอยเตอร์ได้ออกมาเปิดเผยว่าถ้อยคำแถลงการณ์ของโฆษกบริษัท Amazon เกี่ยวกับการรับชำระเงินด้วย Bitcoin ของบริษัท ซึ่งทางโฆษกก็ออกมาบอกว่าเรื่องนี้ยังไม่เป็นความจริงทางบริษัทนั้นยังไม่ได้มีการตัดสินใจในเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากการสยบข่าวลือเรื่องการชำระเงิน Bitcoin นั้น ก็ทำให้ราคาของเหรียญนั้นลดลงอย่างรวดเร็วจนในช่วงเช้าของวันที่ 27 กรกฎาคมราคาของเหรียญกลับมาอยู่ที่ 1.2 ล้านบาทเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตามก็คงต้องดูท่าทีต่อไปว่าทางบริษัท Amazon นั้นจะเข้าร่วมกับธุรกิจคริปโตเคอเรนซี่หรือไม่ และถ้าหากมีการเข้าร่วมจะเข้ามาในทิศทางไหน ในตอนนี้ทางบริษัทเองก็ได้เปรียบ CEO ของบริษัทจาก Jeff Bezos เป็น Andy Jassy ก็ต้องมาดูว่าภายใต้การนำทางของ CEO คนใหม่นั้นจะทำให้ธุรกิจของบริษัทน้ำเดินหน้าไปในทิศทางไหนด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Wall.alphacoders

ข้อมูลจาก The Standard, สยามบล็อกเชน

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com

นักลงทุนเฮ ก.ล.ต. ยกเลิกข้อกำหนดลงทุน cryptocurrency

cryptocurrency

ตั้งแต่ต้นปี 2021 ในประเทศไทยกระแสของการลงทุนนั้นเริ่มเทมาทาง cryptocurrency มากขึ้น ซึ่งก็มีเหตุผลมาจากราคาที่พุ่งสูงขึ้นของ Bitcoin นั้นเอง และทำให้ ก.ล.ต. นั้นเริ่มเป็นห่วงนักลงทุนเพราะว่าทรัพย์สินดิจิตอลอย่าง Bitcoin นั้นเป็นทรัพย์สินที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาเพียงแค่ 10 ปีเอง และยังมีความผันผวนสูงทำให้นักลงทุนที่ไม่มีความรู้อาจจะสูญเสียทรัพย์สินเงินทองเป็นจำนวนมากได้เลย ซึ่งทาง ก.ล.ต. ก็เป็นห่วงนักลงทุนจึงได้ร่างข้อกำหนดและให้นักลงทุนได้เสนอความคิดเห็นกันว่าข้อกำหนดนี้เหมาะสมหรือไม่นับตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยข้อกำหนดนั้นมีอยู่ว่านักลงทุนจะต้องมีเงินเดือนต่อปีมากกว่า 1 ล้านบาท รวมไปถึงต้องมีความรู้ในตลาดการลงทุน cryptocurrency จึงสามารถจะลงทุนนายเงินสกุลดิจิตอลได้ด้วยตนเองและถ้าหากใครที่ยังมีความรู้ไม่ถึงจะต้องลงทุนผ่านกองทุน ซึ่งนับตั้งแต่วันแรกที่ได้มีการประกาศร่างนี้ออกมาเพื่อขอความคิดเห็นนั้นก็มีนักลงทุนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดดังกล่าวเนื่องจากเป็นข้อกำหนดที่สูงจนเกินไปรวมไปถึงยังปิดกั้นรายย่อยที่มีเงินเดือนไม่ถึง 1 ล้านบาทอีกด้วย หลังจากที่เปิดเผยข้อกำหนดออกมาก็ให้เวลา 1 เดือนกับนักลงทุนเพื่อเข้าไปแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยกับข้อกำหนดดังกล่าวหรือไม่ 

จนกระทั่งระยะเวลาลงความเห็นนะได้สิ้นสุดลงไปในช่วงวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา แล้วผลตอบรับส่วนใหญ่ก็คือไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดดังกล่าว และยังให้ข้อเสนอว่าควรให้ความรู้ในทรัพย์สินดิจิตอลให้มากขึ้น แทนที่จะปิดกั้นนั่นเอง จนในท้ายที่สุดแล้วทาง ก.ล.ต. ก็ยอมรับความคิดเห็นของนักลงทุนส่วนใหญ่และยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวที่ได้ร่างขึ้นมาเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และเสนอให้ Exchange ในประเทศไทยที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนนั้นทำสื่อให้ความรู้มากขึ้นเพื่อให้ความรู้กับนักลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านการลงทุนใน cryptocurrency แต่ต้องการเปิดบัญชีเพื่อเข้ามาสู่การลงทุนจะต้องถูกทดสอบความรู้หรือเข้าอบรมการลงทุนใน cryptocurrency เพื่อให้มีความรู้และลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียทรัพย์สินจากการลงทุน

พอได้ยินข่าวเช่นนี้แล้วนักลงทุนหลายคนก็คงใจชื้นขึ้นมาเลยทีเดียว และอนาคตของ cryptocurrency ก็คงจะมีเส้นทางที่สดใสมากขึ้นในประเทศไทยในตอนนี้ก็มีบริษัทบางบริษัทที่เริ่มทดลองให้ลูกค้านั้นสามารถชำระเงินด้วย Bitcoin ได้ และนอกจาก Bitcoin จะเป็นสื่อกลางที่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนได้ ยังเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนที่มีความรู้ในการลงทุนได้อีกด้วย

#cryptocurrency #GUรู็ การเงิน #mee-money.com

ข้อมูลจาก EfinanceThai

ตลาดเงินดิจิตอลถูกทุบอย่างหนักหน่วง

เงินดิจิตอล

เงินดิจิตอลเป็นสินทรัพย์ชนิดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานนี้ แต่ว่าสามารถสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้มากที่สุดในตอนนี้ ซึ่งผลตอบแทนที่ดีมากนั้นทำให้สามารถดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนได้มากมายเลยทีเดียว ทำให้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 ตลาดเงินดิจิตอลนั้นมี Volume การซื้อขายเป็นจำนวนมากและทำให้ราคาของเหรียญเกือบทุกเหรียญสามารถทำราคาสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว

แต่ว่าบนโลกนี้ไม่มีทรัพย์สินประเภทใดเลยที่จะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอย่างเดียวมันก็ต้องมีบางช่วงที่สินทรัพย์งั้นจะมีราคาที่ลดลงมาและเงินดิจิตอลนั้นก็เป็นสินทรัพย์ที่มีราคาพุ่งอย่างรุนแรงและราคาลดลงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เป็นสัปดาห์ที่มีแต่ข่าวร้ายเกี่ยวกับเงินดิจิตอลโดยเฉพาะ Bitcoin เริ่มต้นจากการที่บริษัทเทสล่าที่เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ประกาศว่าบริษัทนั้นรับชำระเงินในการซื้อรถด้วย Bitcoin ได้ แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ทางบริษัทก็งดชำระเงินด้วย Bitcoin โดยการให้เหตุผลว่าไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทันทีที่ได้ออกประกาศนี้ก็ทำให้ราคาของเหรียญ Bitcoin และเหรียญส่วนใหญ่ในตลาดราคาลดลงอย่างรวดเร็ว ยังไม่เพียงเท่านั้นหลังจากนั้นไม่นานอีลอนมัสก์เองก็ออกมาพูดถึง Bitcoin ว่ามันเป็นสิ่งที่ Centralized นั่นก็ยิ่งทำให้ราคาของเหรียญ Bitcoin ลดลงอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดรัฐบาลจีนก็ออกมาระงับบริการของ Bitcoin ทั้งหมด หลังจากนั้นไม่นานราคาของ Bitcoin ก็ลดลงจนราคานั้นลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านกว่าบาทโดยประมาณ ซึ่งจากจุดสูงสุดของราคาที่ราคา 2 ล้านกว่าบาทนั้นลดลงมาถึง 40 กว่าเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว 

และทุกครั้งที่ Bitcoin มีราคาลดลงเหรียญอื่น ๆ ในตลาดก็จะลดลงตามมาซึ่งก็ทำให้ตลาดของวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมานั้นเป็นสีแดงทั้งตลาดเลยทีเดียว และคงจะสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนหน้าใหม่เป็นอย่างมากเลย 

และนี่ก็เป็นสิ่งยืนยันว่า Bitcoin รวมถึงเงินดิจิตอลนั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากเพราะว่าตอนราคาขึ้นก็ขึ้นอย่างรุนแรงและตอนที่ราคาลดลงก็ลดลงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามาลงทุนในทรัพย์สินดิจิตอลนี้นั้นจำเป็นที่จะต้องรู้จักการบริหารความเสี่ยงที่ดีและไม่ใช้เงินที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตมาลงทุน และที่สำคัญก็ควรศึกษาวิธีการลงทุนให้ดีเสียก่อน 

 #Bitcoin #เงินดิจิตอล #Cryptocurrency #GUรู็ การเงิน #mee-money.com

ข้อมูลจาก ทวิตเตอร์ของอีลอนมัสก์, โพสต์ทูเดย์

ภาพจาก Canva

Bitkub เพิ่มเหรียญใหม่ให้กับผู้ใช้บริการ

Bitkub

Bitkub คือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินดิจิตอลหรือว่า Cryptocurrency ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และในปีนี้ก็เป็นปีทองของเงินดิจิตอลเลยก็ว่าได้ เพราะว่าผู้คนจำนวนมากเริ่มที่จะรู้จักเงินดิจิตอลมากขึ้น โดยเฉพาะ Bitcoin ทำให้บริษัท Bitkub เติบโตขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

ซึ่ง CEO ของบริษัท Bitkub ก็คือ ท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Bitcoin รวมไปถึง Blockchain ในประเทศไทย

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาคุณท็อป จิรายุส ก็ได้ขอความคิดเห็นผู้ใช้บริการ Bitkub ผ่านทางแฟนเพจ Facebook ของตัวเองระหว่างการสร้างเหรียญ Bitkub และการนำบริษัท Bitkub เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย ซึ่งก็มีผู้ติดตามทางแฟนเพจรวมถึงผู้ใช้บริการเว็บไซต์ Bitkub เข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

ซึ่งความคิดเห็นก็แตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเห็นด้วยกับการสร้างเหรียญดิจิตอล Bitkub การนำ Bitkub เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ หรือทำทั้งสองอย่างเลย โดยล่าสุดก็มีความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ บริษัท Bitkub ได้สร้างเหรียญดิจิตอลของตัวเองขึ้นมาที่มีชื่อว่า Bitkub (KUB) และได้ส่งอีเมลไปหาผู้บริการเว็บไซต์ Bitkub โดยใน Email นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับเหรียญดิจิตอล Bitkub ซึ่งทางบริษัทจะทำการแจกเหรียญให้กับผู้ที่ใช้บริการตามอัตราการซื้อขายแลกเปลี่ยนบนเว็บไซต์ของ Bitkub ซึ่งทุกคนจะได้มากน้อยแตกต่างกันออกไป และได้นำเหรียญ Bitkub เข้าสู่หน้ากระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเปิดให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญ Bitkub เร็ว ๆ นี้

เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ทางบริษัท Bitkub นั้นคืนความสุขให้กับลูกค้าของทางบริษัท หลังจากทำกำไรมามากมาย สำหรับบริษัทนี้เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ทำให้ประเทศไทยนั้นรู้จักกับเงินดิจิตอลมากขึ้น และทางบริษัทเองก็กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย

สำหรับเงินดิจิตอลตอนนี้ทางโลกก็กำลังให้การยอมรับกันอย่างกว้างขวาง หลาย ๆ บริษัทก็เริ่มที่จะเปิดให้บริการชำระเงินด้วยเงินดิจิตอลแล้ว ซึ่งทิศทางของเงินดิจิตอลในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นก็คงต้องติดตามดูกัน แต่สำหรับในประเทศไทยเงินดิจิตอลนั้นก็กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากเลยทีเดียว และมีแนวโน้มว่าจะสดใสขึ้นมากกว่านี้

#Bitkub #Bitcoin #Cryptocurrency #เงินดิจิตอล #marketing #มาร์เก็ตติ่ง #mee-money.com

ภาพจาก Canva

อีลอน มัสก์ มีแววไม่สนับสนุน Bitcoin

Bitcoin

นับตั้งแต่ต้นปี 2021 เป็นต้นมา Bitcoin กลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากทั่วทั้งโลก มันถูกพูดถึงในทิศทางที่ดีมาก ๆ ในเรื่องของการเงินจากผู้คนจำนวนมาก จน Bitcoin กลายเป็นที่ยอมรับมากขึ้นทำให้ราคาของเหรียญนั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเลย 2 ล้านบาทต่อ 1 เดือนเลยทีเดียว และหนึ่งในผู้ที่สนับสนุน Bitcoin มาตลอดก็คืออีลอนมัสก์เจ้าของบริษัท Tesla และ SpaceX

อีลอนมัสก์เป็นชายคนหนึ่งที่ทุกครั้งที่เขาได้มีการพูดถึงเงินดิจิตอลไม่ว่าจะเป็นเหรียญใด ๆ ก็ตามซึ่งโดยปกติแล้วเขามักจะพูดถึง Bitcoin และ Dogecoin เป็นประจำ และทุกครั้งที่ได้มีการพูดถึงเงินดิจิตอลราคาของเหรียญที่ได้ถูกพูดถึงนั้นก็จะมีการขยับเขยื้อนเสมอ ซึ่งจากการพูดถึงตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงบนทวิตเตอร์ส่วนตัวของเจ้าตัวเองในช่วงต้นปี 2021 ถือว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดีและทำให้เหรียญนั้นมีราคาพุ่งสูงขึ้น รวมถึงบริษัทของเขาก็ได้มีการซื้อ Bitcoin เป็นเงินทุนสำรองให้กับบริษัทด้วยซึ่งก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรวมถึงผู้คนจำนวนมากได้เลย

แต่ว่าในตอนนี้หน้ามือเป็นหลังมือเสียแล้วอีลอนมัสก์ที่เคยสนับสนุน Bitcoin มาโดยตลอด ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาเองก็จะไม่เห็นด้วย Bitcoin เสียแล้ว เริ่มจากการที่บริษัท Tesla ของอีลอนมัสก์ประกาศเลิกชำระเงินซื้อรถด้วย Bitcoin เนื่องจากการขุดเหรียญ Bitcoin นั้นไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แถมเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมายังแสดงความคิดเห็นเชิงลบเกี่ยวกับ Bitcoin ด้วย

ซึ่งก็ทำให้ราคาของเหรียญ Bitcoin นั้นลดลงอย่างรุนแรงเลยทีเดียว เมื่อเหรียญ Bitcoin มีราคาที่ลดลงก็ทำให้เหรียญอื่น ๆ มีราคาที่ลดลงตามมา ซึ่งก็ทำให้ภาพรวมของตลาดวันนี้เป็นสีแดงทั้งตลาดเลยก็ว่าได้

สำหรับ Dogecoin ที่เป็นเหรียญลูกรักของเจ้าตัวอีลอนมัสก์ก็ได้ถูกพูดถึงบนทวิตเตอร์เช่นเดียวกัน โดยทางอีลอน มัสก์นั้นได้มีร่วมงานกับผู้พัฒนาเหรียญเพื่อที่จะระบบการทำธุรกรรมของเหรียญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังได้มีการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับชำระเงินซื้อรถยนต์ด้วยเหรียญ Dogecoin อีกด้วย ในตอนนี้ก็คงต้องมาติดตามดูว่าอนาคตของ Bitcoin จะอีลอน มัสก์ถูกพูดถึงไปในทิศทางไหน เขาจะเปลี่ยนเหรียญในการรับชำระเงินได้จริงหรือไม่ หรือจะมีการสร้างเหรียญที่เป็นของตัวเองโดนมัดเองขึ้นมากันแน่

#อีลอนมัสก์ #Bitcoin #Dogecoin #Cryptocurrency #เงินดิจิตอล #marketing #มาร์เก็ตติ่ง #mee-money.com

ข้อมูลจาก Elon Musk’s Twitter, SiamBlockchain

ภาพจาก Canva

Bitcoin เทคโนโลยีการเงินในอนาคตหรือเทคโนโลยีสิ้นเปลืองพลังงาน

Bitcoin

กระแสการลงทุนในปัจจุบันก็คงจะหนีไม่พ้นกระแสการลงทุนในเงินสกุลดิจิตอลหรือ Cryptocurrency ที่เป็นสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ที่คนกำลังให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมากทั้งรายใหญ่และรายย่อย จากความที่เป็นกระแสทำให้ราคาของเงินสกุลดิจิตอลนั้นมีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนว่าในบริษัทหลายแห่งก็เริ่มให้การยอมรับในเงินสกุลดิจิตอลเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามมีคนเห็นด้วยก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วย มีผู้คนจำนวนมากที่ยังมองว่า Cryptocurrency ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนและไม่สามารถจับต้องได้แถมยังไม่มีเงินสกุลใด ๆ มารองรับและยังไม่เหมาะกับการทำธุรกรรมทางการเงิน 

ยิ่งไปกว่านั้นการได้ Cryptocurrency มาครอบครองโดยเฉพาะ Bitcoin สามารถทำได้โดยการขุดหรือเป็นการถอดสมการตัวเลข โดยในปัจจุบันนั้นหลายคนก็เลือกวิธีนี้เป็นวิธีที่ทำให้ได้ Bitcoin เพราะมีความสะดวกมากกว่า ซึ่งBitcoin ในปัจจุบันนี้มีจำนวนมหาศาลทำให้การถอดรหัสยากขึ้น และการขุดหรือการถอดรหัสจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าต่อปีมากกว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศ 1 ประเทศเสียอีก ที่สำคัญก็คือเมื่อใช้พลังงานมากผลกระทบที่มีต่อโลกก็ยิ่งมากขึ้นเช่นเดียวกัน ในขณะที่หลายคนกำลังหาวิธีเพื่อแก้ปัญหาสภาวะของโลกที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างภาวะโลกร้อน เงิน Cryptocurrency ที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ดันมาทำให้สถานการณ์ดูเหมือนจะแย่ลง

อย่างไรก็ตาม Cryptocurrency ไม่ว่าจะเป็นเหรียญในสกุลไหนสามารถนำเงินเพื่อไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้การถอดรหัสอย่างเดียวเพื่อที่จะได้ Bitcoin มา และถึงแม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่และความเป็นไปได้ว่าในอนาคตการเงินของเราจะเปลี่ยนไปในเป็นรูปแบบดิจิตอล แต่เทคโนโลยีมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ในอนาคตก็คงจะมีคนจำนวนมากออกมาช่วยกันแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างแน่นอน 

#Cryptocurrency #Bitcoin #GUรู็ การเงิน  #mee-money.com

ข้อมูลจาก Workpointtoday

Cr.Pixabay

Dogecoin กลายเป็นเหรียญ อันดับที่ 5 ของ Market Cap

Dogecoin

จากในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ที่เป็นช่วงวันสงกรานต์ของประเทศไทยตลาดเงินดิจิตอลนั้นคึกคักเป็นอย่างมากหลายๆ เหรียญในตลาดนั้นทำ All Time High แต่ว่ามันก็ตรงกันข้ามกับนี้ช่วงสัปดาห์นี้ที่เป็นสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายน

จากสถานการณ์ตอนนี้ของเงินดิจิตอลเหรียญทุก ๆ เหรียญนั้นได้มีราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, XRP, ADA, Etherium หรือว่า Binance แต่มีเพียงเหรียญเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เอนเอียงไปตามกระแสของตลาดเงินดิจิตอลนั่นก็คือ Dogecoin ที่เป็นเหรียญสุดที่รักของอีลอน มัสก์ ได้มีราคาสูงขึ้นและทำ All Time High ได้จนถึงช่วงวันนี้ราคาของเหรียญก็ยังไม่ได้ลดลงและมีราคาอยู่ที่ประมาณ 13.3 บาทต่อ 1 เหรียญ จากการที่ราคาของอื่น ๆ นั้นได้ลดลงอย่างต่อเนื่องนั้น เหรียญ Dogecoin ก็ได้ขึ้นเป็นเหรียญอันดับที่ 5 ของ Market Cap ของ Cryptocurrency แซงหน้า USDT ที่เป็น Stable Coin ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากเหรียญที่ไม่มีใครสนใจในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา และมีราคาไม่ถึง 1 บาทต่อ 1 เหรียญ แต่ตอนนี้เหรียญนี้ก็ได้สร้างกำไรให้กับนักลงทุนได้เช่นเดียวกับเหรียญอื่น ๆ ซึ่งราคาที่พุ่งสูงขึ้นนั้นส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากการทวิตในทวิตเตอร์ของอีลอน มัสก์ด้วยเช่นเดียวกัน 

สำหรับเหรียญอื่นที่เป็นเหรียญใหญ่ใน Market Cap มีอันดับดังนี้ 

1.Bitcoin

2.Etherium

3.Binance

4.XRP

5.Dogecoin

6.USDT

สำหรับตลาดเงินดิจิตอลในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายนนี้ก็ต้องบอกเลยว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ซื้อเหรียญต่าง ๆ ในราคาที่ต่ำ แต่อย่างไรก็ตามราคาของเหรียญก็ยังอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง หลาย ๆ เหรียญลดลงมากเกิน 10% เลยทีเดียว ต้องมาติดตามดูว่าหลังจากที่สัปดาห์นี้ผ่านพ้นไปทิศทางของเหรียญนั้นจะกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกรอบนึงหรือไม่ สำหรับใครที่จะลงทุนช่วงนี้ก็อาจจะต้องควบคุมอารมณ์รวมไปถึงวางแผนการลงทุนให้ดี เพราะในทิศทางขาลงนี้สามารถที่จะทำให้ขาดทุนได้ง่ายมากเลยทีเดียวถ้าหากว่าไม่มีการวางแผนการลงทุนที่ดี และถ้าเป็นนักลงทุนมือใหม่ในช่วงนี้ก็อาจเป็นโอกาสที่ดีในการศึกษาว่าตลาดของเงินดิจิตอลนั้นเป็นเช่นไรและพอที่จะรับความเสี่ยงได้หรือไม่ถ้าหากว่าตลาดนั้นมีการผันผวนที่มากขนาดนี้

#Dogecoin #Bitcoin #Cryptocurrency #เงินดิจิตอล #marketing #มาร์เก็ตติ่ง #mee-money.com

ข้อมูลจาก Bitcoinaddict

ภาพจาก Canva