การลงทุนที่ได้รับความสนใจในยุคโควิด 19

การลงทุน

การลงทุนของเศรษฐกิจไทย ที่ได้รับความสนใจในยุคโควิด 19

เนื่องด้วยกระแสการลงทุนของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาซบเซาและมีความผันผวนอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้หลายคนเริ่มเก็บออมเพื่อนำมาลงทุนกันมากขึ้น ธุรกิจต่างๆมีการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เช่น การทำงานที่บ้าน การปรับเปลี่ยนการทำงานต่างๆ

หลายคนจึงได้ศึกษาการลงทุนให้เงินทำงานแทน ซึ่งหลายคนไม่คนอาจจะยังไม่ทราบว่า การลงทุนในช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงและให้ผลการตอบแทนที่แตกต่างกันไป 

1. การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือตราสารเงิน

ทิศทางการลงทุนอัตราผลตอบแทนในช่วงที่เหลือของปี 2564 นี้ อัตราดอกเบี้ยระยะกลางและยาวจะทรงตัว  รอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมาสนับสนุน หลังจากที่ปรับขึ้นมาเมื่อเกิดการระบาดของไวรัสโควิด 19อย่างต่อเนื่องเหมาะสำหรับนักลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยง ต้องการลดความผันผวนในพอร์ตการลงทุน  การพักเงินไว้ในตราสารหนี้ระยะสั้นจะตอบโจทย์สำหรับคนที่ที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากในบัญชีธนาคาร และมีความเสี่ยงต่ำ

2. การลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ระยะยาว

2.1 การลงทุนในพันธบัตร

เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ออก มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ มีความเสี่ยงต่ำ เมือเราซื้อพันธบัตร รัฐบาลก็จะให้เงินปันผลเรา ซึ่งรัฐบาลได้ออกรุ่นพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นเราชนะและพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นยิ่งออมยิ่งได้ มาเพื่อให้ประชาชนได้ออมในพันธบัตรที่ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝากในบัญชีธนาคาร และให้ผลตอบแทนปีละ 2ครั้ง

2.2 หุ้นกู้ระยะยาว

เป็นตราสารหนี้ระยะยาวที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพื่อระดมเงินจากนักลงทุนไปใช้ในการดำเนินกิจการ หุ้นกู้เป็นตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล และมีความเสี่ยงมากกว่าจากการผู้ออกอาจผิดนัดชำระหนี้ อัตราผลตอบแทนขึ้นอยู่กับระดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้และผลกำไรที่ได้รับ

การลงทุนที่ได้รับความสนใจต่อมาคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเศรษฐกิจทั่วโลกมีความผันผวน รวมถึงไทยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมนั้นมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีของนักลงทุน เพราะว่ามีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลสูงอยู่เสมอและประกอบกับนโยบายของรัฐที่มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทำให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

พืชเศรษฐกิจใหม่ที่มาแรง

ใบกระท่อม

พืชเศรษฐกิจใหม่ที่มาแรงอย่าง ใบกระท่อม สร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศอย่างไร

ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ ประกาศยกเลิก “พืชกระท่อม” ออกจากยาเสพติดให้โทษ ทำให้ประชาชนสามารถปลูกและขายได้ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชน ทางรัฐบาลมีการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องให้ใบกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทยในการนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ และประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมแต่ต้องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐก่อน รวมทั้งมีข้อห้ามเพื่อป้องกันไม่ให้นำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย 

ประโยชน์ของใบกระท่อม

ด้านการแพทย์

  • มีสาร ไมตราเจนีน ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ลดอาการปวดเมื่อยช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่า
  • นำไปใช้บรรเทาอาการปวดแทนมอร์ฟรีน
  • ใช้บำบัดผู้ติดยาเสพติด
  • บรรเทาอาการไอ แก้ปวดเมื่อย ท้องเสีย
  • ด้านสังคมและเศรษฐกิจ

  • เป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
  • ช่วยประหยัดงบประมาณรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด
  • สร้างรายได้จากการส่งออกในอนาคตที่สูงขึ้น
  • ธุรกิจกลาง ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำสำหรับกลุ่มธุรกิจกลางน้ำอยู่ในกลุ่มหุ้นธุรกิจโรงสกัด แปรรูปและเกษตร ได้กระแสการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

  • บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) 
  • บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) 
  • บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD)  
  • บมจ.เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค (KWM) 
  • ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจที่จะได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ต่างๆ

    ซึ่งหลังจากการปลดล็อค กระท่อมออกจากสารเสพติดทำให้ราคาหุ้นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นตอบรับ โดยตั้งแต่เดือน สิงหาคม-กันยายน 2564 ราคาหุ้นในกลุ่มใบกระท่อมมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย

    บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) เปิดเผยว่า บริษัทมีความสนใจที่จะทำผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อมให้แก่ลูกค้า ซึ่งถือเป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยเศรษกิจได้ มีการวิจัยและจะนำมาสกัดที่สำคัญเป็นอาหารเสริมและเครื่องดื่ม รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากการส่งออก ซึ่งทั่วโลกมีความสนใจและความนิยมเป็นจำนวนมาก จึงคาดว่าในอนาคตปี65 จะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของพืชกระท่อมส่งออกไปต่างประเทศ

    บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) ยังมีแผนพัฒนาต่อยอดไปสู่การทำเครื่องสำอางและสกินแคร์ ที่มีสารสกัดที่ครบวงจรแบบ และมีการพัฒนาธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในระดับต้นๆ ของประเทศอีกด้วย

    โอกาสในการสร้างรายได้ของเกษตรกรไทยรายเล็ก

     หลังจากปลดล็อคกระท่อมได้ไม่นาน พูดได้ว่าเกษตรกรท้องถิ่นก็ปรับตัวกับเรื่องนี้ได้เร็วไม่น้อยเพราะต่างคนต่างก็รีบนำใบกระท่อมทั้งแบบสด แบบแห้ง ต้นกล้า ไปจนถึงเมล็ดพันธุ์ มาวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง LAZADAและSHOPPEEแถมยังมากันแบบหลายสายพันธุ์หลากแหล่งปลูก ส่วนใหญ่แหล่งปลูกจะมาจากภาคใต้ ซึ่งถ้าเข้าไปดูจะเห็นมา มีการบรรยายถึงสรรพคุณและวิธีการรับประทาน เป็นการกระจายรายได้ให้กับครอบครัวและชุมชนได้อย่างดี

    สำหรับนักลงทุนทั่วไปทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และผู้ประกอบการทั่วไปได้เข้ามาหารือเพื่อศึกษาและร่วมกันพัฒนาใบกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกไปทั่วโลก

    ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
    เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

    เวียดนามเปิดแผนปรับประเทศครั้งใหญ่

    เวียดนาม

    เวียดนามเปิดแผนปรับประเทศครั้งใหญ่ผ่านโครงสร้างพื้นฐาน กับเงินลงทุน 65,000 ล้าน USD

    เศรษฐกิจของเวียดนามนั้นมีขนาดเป็นอันดับ6 ของอาเซียน ตามหลังไทยที่รั้งอยู่อันดับ 2 จากทั้งหมด 10 ประเทศ แต่ถ้ามองในมุมการเติบโตของเศรษฐกิจแล้วต้องถือว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับ 3 นับตั้งแต่ปี 2014 ในขณะที่ไทยรั้งท้ายสุดของขบวน! และในตอนนี้เวียดนามกำลังวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณที่เราได้แต่มองดูจริงๆ

    ใครที่เคยไปเวียดนามมาก็จะทราบดีว่า อุปสรรคที่ขัดขวางการก้าวกระโดดไปข้างหน้าของเวียดนามมีสองอย่าง อย่างแรก คือ รัฐบาล แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนนะว่า แม้ว่าภาครัฐจะมีอันดับความโปร่งใสต่ำ อยู่ที่ 104 ของโลก (หมายเหตุ ไทยร่วมอันดับกับเวียดนามที่ 104 เช่นกัน) แต่ในด้านความมุ่งมั่นที่จะนำเงินเข้าประเทศในฐานะผู้รับจ้างผลิตด้วยการใช้แรงงานเข้าแลกนั้นสูงมาก ทำให้การเติบโตของ GDP เป็นไปอย่างมั่นคง อย่างที่สอง คือ โครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ระบบสาธารณูปโภค และ ถนนหนทาง

    ถนนในเวียดนามนั้นถือได้ว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอย่างมาก เนื่องจากว่าถนนระหว่างเมืองนั้นทั้งมีคุณภาพต่ำ ทั้งมีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับการเดินรถบรรทุกขนาดใหญ่ เมื่อมีขนาดเล็กบวกกับความนิยมที่ชาวเวียดนามใช้ทั้งจักรยานยนต์และจักรยานขับขี่ทั่วไป ทำให้พื้นที่บนถนนมักถูกกั้นขวางไว้ด้วยรถเล็กๆมากมาย ทำให้การขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างล่าช้า 

    เดือนเมษายน 2021 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของเวียดนามจึงได้คลอดแผนพัฒนาระบบขนส่งครั้งใหญ่ ที่จะใช้งบประมาณที่คาดไว้ 43,000 – 65,000ล้านเหรียญสหรัฐ ในการสร้างทางด่วนหลายพันกิโลเมตรทั่วประเทศ รถไฟฟ้าความเร็วสูง ท่าเรือน้ำลึก และสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ซึ่งประมาณการว่าจะรองรับการขนส่งด้วยคอนเทนเนอร์ 4.4 พันล้านต้นต่อปี โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2030

    โครงการนี้ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการเกาที่ถูกที่คันจริงๆ นโยบายภาครัฐของเวียดนามครั้งนี้ตอบโจทย์ธุรกิจและชีวิตผู้คน การขยายถนนแม้เป็นเรื่องที่ควรทำแต่ดูจากวิถีชีวิตของคนเวียดนามแล้ว แม้ว่าขยายถนนไปอาจจะทำให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุได้มากกว่า แต่การตัดผ่านทางด่วนให้กับรถบรรทุกขนาดใหญ่จากนิคมอุตสาหกรรมทั้งเหนือและใต้จึงเป็นการช่วยทั้งธุรกิจเอกชน และช่วยให้เศรษฐกิจของเมืองใหญ่น้อยดำเนินต่อไปได้อย่างกลมกลืน

    ถึงแม้ว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีเสียงบ่นว่าโครงการรัฐมักจะล่าช้า แต่ว่ารัฐบาลเวียดนามก็เป็นประเภทที่ว่าเมื่อบอกว่าจะทำก็จะเริ่มต้นทันทีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะช้าหรือไม่เสือตัวเดิมที่ตัวใหญ่อีก2-3เท่าตัวน่าจะเกิดขึ้นได้จริงๆ งอนิ้วนับดูอีกเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น บวกกับอัตราความก้าวหน้าของตัวเลขทางเศรษฐกิจแล้ว ดีไม่ดีอาจสามารถหายใจรดต้นคอไทยได้ในระยะเวลาไม่นาน

    นึกย้อนไปถึงโครงการ 20,000 ล้านบาทในไทยเมื่อสิบปีที่แล้วที่ตัดตอนไป มาถึงวันนี้มองไปทางไหนก็ไม่มีสิ่งไหนดีขึ้น นอกจากรถไฟฟ้าในเมืองที่เพิ่มจำนวนสายขึ้นมาแบบที่ไม่ได้ช่วยคนมากเท่าไหร่เพราะค่ารถยังถือว่าอยู่ในอัตราที่แพงกว่าประเทศอื่นมากๆเทียบจากรายได้ต่อหัวต่อวัน  เอาจริงๆแล้วเมื่อไม่สามารถทำให้การใช้ชีวิตของประชาชนถูกลงได้ ก็มีประโยชน์เพียงเพิ่มมูลค่าที่ดินให้กับเจ้าของที่ดิน ซึ่งก็ไม่ใช่ประชาชนธรรมดาๆอยู่แล้ว เป็นใครบ้างก็รู้อยู่

    ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
    เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

    ธปท.ชี้ดัชนีเชื่อมั่นลด ส่งผลบริโภคเอกชนหดตัว

    ธปท.

    ธปท.ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ หลังจากที่ปี 64 ประมาณการณ์ไว้ 32 หลังผลกระทบโควิดระบาดหนัก ระบุตัวเลขทางเศรษฐกิจ ในไตรมาส 2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาคเอกชนหดตัว รอวัคซีน ที่ช่วยเยียวยาและช่วยกระตุ้นตัวเลขเศรษฐกิจของไทย

    ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหาภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยดัชนีตัวเลขทางเศรษฐกิจประจำไตรมาส 2 ว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดระลอก 3 ของโควิด-19 พบว่า

    การบริโภคภาคเอกชนยังอ่อนแอ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังซบเชาต่อเนื่อง แต่ก็ยังมี เรื่องที่น่าดียินดีคือการส่งออกสินค้า

    ไปต่างประเทศ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ประเทศคู่ค้า ด้านความเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ

    ทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนๆ ด้านตลาดแรงงานยังคงประสบปัญหามีความเปราะบาง สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลน้อยกว่าเดือนก่อน รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจไทยมีดังนี้

    เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วปรับดีขึ้นบ้างจากเดือนก่อน หลังจากภาครัฐทยอยผ่อนคลาย

    มาตรการควบคุมการระบาดตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ดี เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนโดยรวมยังอยู่ในระดับ

    ต่ำ สอดคล้องกับรายได้และความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่อ่อนแอจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19

    มูลคำการส่งออกสินค้าพื้นตัวตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงชาขึ้นเป็นการช่วยพยุง

    การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชน ส่งผลให้การส่งออกยังเพิ่มขึ้นในหลายหมวด โดยเฉพาะสินค้าเกษตร

    แปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การสงออกเหล็กเร่งขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเปลี่ยนไปเน้น

    ตลาดส่งออกมากขึ้นในช่วงที่ความต้องการในประเทศลดลง

    มูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ปรับลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะหมวดเชื้อเพลิงและสินค้าอุปโภคบริโภค การนำเข้าวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการส่งออก การพยุงเศรษฐกิจของภาครัฐ นั้นมีรายจ่ายประจำขยายตัวมากขึ้น

    ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกตามสินค้าหมวดพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันภายในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ลดลงเกินคาด ตลาดน้ำมันดิบได้รับแรงสนับสนุนจากค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลง สะท้อนถึงความต้องการที่อยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ โดยจะรอให้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

    ราคาน้ำมันเบนชิน

    ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ และการส่งออกน้ำมันเบนซินที่มากขึ้นของเกาหลีใต้ในช่วงต้นเดือน ส.ค. 64

    ราคาน้ำมันดีเซล

    ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากความต้องการที่ยังจำกัดในบางภูมิภาค 

    ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
    เวปไซด์ mee-money.com

    แผนฟื้นฟูธุรกิจการบินหลังผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด

    แผนการฟื้นฟูธุรกิจการบิน

    การแพร่ระบาดของโรคโควิดเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยน้ำตกต่ำแล้วมันได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในหลาย ๆ ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมากและเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบก็คือธุรกิจการบิน

    หลังจากที่โรคโควิดได้เริ่มแพร่ระบาดหลายประเทศนั้นได้เริ่มปิดประเทศไม่ให้ประชากรในประเทศของตัวเองเดินทางเข้าออกเพราะว่าเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิดนั่นเอง และนี่ทำให้ธุรกิจการบินซบเซาอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีผู้ใช้บริการนั่นเองทำให้ผู้ที่ประกอบอาชีพสายการบินที่ครั้งหนึ่งเคยได้ถูกยกย่องว่าเป็นอาชีพที่มีผู้คนอยากประกอบอาชีพมากที่สุด เนื่องจากมีรายได้ที่สูงกลายเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคงไปเลย และจากการที่ไม่มีผู้มาใช้บริการทำให้ธุรกิจการบินส่วนใหญ่นั้นเริ่มที่จะขาดทุนและเราสามารถเห็นได้จากการบินไทย สายการบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยที่เสี่ยงต่อล้มละลายมากที่สุด

    อุตสาหกรรมการบิน

    หลังจากการบินไทย เสี่ยงต่อการล้มละลายทางศาลล้มละลายก็ได้ใช่ทางบริษัทการบินไทยทำแผนเพื่อฟื้นฟูกิจการตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเส้นตายที่ศาลกำหนดระยะเวลาในวันที่ 2 มีนาคม 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวนี้มีโจทย์ก็คือเพื่อนำรายได้กับสู่กิจการของสายการบินไทยและชำระหนี้สินส่วนใหญ่ให้หมดไป

    โดยแผนการฟื้นฟูก็มีรายละเอียดว่า จะมีการลดพนักงานลงกว่า 50% ภายในระยะเวลา 2 ปี รถเส้นทางสายการบิน รวมไปถึงรถจำนวนเครื่องบิน ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกำไรกลับมาในช่วงปี 2568 ถึงแม้ว่าจะมีการคาดการณ์แต่ว่าในปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคโควิดก็ยังคงมีอยู่ในหลายประเทศในด้านอุตสาหกรรมการบินก็คงยังอยู่ในภาวะที่ซบเซาไปในอีกระยะเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน

    อุตสาหกรรมการบิน2

    อุตสาหกรรมการบินเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับหลายอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการผลิตเพราะเครื่องบินนั้นเป็นเครื่องมือในการขนส่งบุคคลและขนส่งสินค้าไปยังสถานที่ต่างๆ การที่อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวได้เร็วอุตสาหกรรมอื่นก็จะฟื้นตัวตามมาอย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตามก็ต้องมาติดตามดูกันว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิดนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่หลังจากที่หลายประเทศได้รับวัคซีนไปแล้วและอุตสาหกรรมการบินจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วมากแค่ไหนด้วยเช่นเดียวกัน

    TAG #การบินไทย #อุตสหกรรมการบิน #มาร์เก็ตติ่ง #mee-money.com