9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ใตอนที่ 3

ธุรกิจ

9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ธุรกิจที่ไปรอดในยุคโควิด ตอนที่ 3

ผ่านไป 2 บทความแล้วสำหรับ “9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ธุรกิจที่ไปรอดในยุคโควิด” อีกเหลืออีก 4 เทรนด์ธุรกิจที่จะนำมาเสนอในบทความตอนที่ 3 ไปดูกันเลยว่ายังมีเทรนด์เกี่ยวกับธุรกิจอะไรบ้าง

กลุ่มธุรกิจที่ 6 Telemedicine หรือ โทรเวชกรรม ก็คือการแพทย์ทางไกล  ตั้งแต่มีโควิดเกิดขึ้น เราก็มีอุปสรรค บางทีเจ็บป่วยไม่สบาย ก็อยากจะไปหาหมอ แต่ก็กลัวไปเจอโควิด มันจึงทำให้ธุรกิจนี้เติบโตเร็วขึ้น จริงๆมันมีมานานแล้วแต่มันมาโตเร็วขึ้นในช่วงโควิดที่ผ่านมา 2 ปี โทรเวชกรรมก็คือการสามารุปรึกษาผ่านทางวิดีโอคอลได้เลย ปรึกษาตั้งแต่โรคหวัด จนกระทั่งปรึกษาปัญหาทางด้นจิตใจ ทางด้านจิตเวชได้เลย Telemedicine จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าคนเริ่มชินกับ New Normal อยู่บ้านขรี้เกียจออกจากบ้าน เพราะสั่งของได้ สั่งอาหารได้ ช็อปปิ้งออนไลน์ได้ ตอนนี้ก็เริ่มขี้เกียจไปโรงพยาบาลแล้ว ถ้าปรึกษาผ่านโทรศัพท์ได้ผ่านZOOM ได้ ผ่านวิดีโอคอลได้ ทำไมต้องไปต่อคิวโรงพยาบาล และทุกอย่างก็จะดีขึ้นประหยัดขึ้น คนไม่ต้องเดินทาง หมอก็ทำงานได้สะดวกขึ้นหมอสามารถอยู่บ้านได้วย ซึ่งตอนนี้ก็มีบริษัทต่างชาติมาเปิดที่เมืองไทย และให้คุณหมอไทยให้คนปรึกษา และคนไข้ก็มีทั่วโลก

กลุ่มธุรกิจที่ 7 Genomics  คือการศึกษาเกี่ยวกับยีน หรือพันธุกรรม ซึ่งมันจะมาปฏิวัติ วงการการพทย์ Genomics สามารถป้องกันโรคร้ายได้ ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ไปตรวจแล้วพบว่ามีโอกาสที่จะเป็นมะเร็ง Genomics สามารถเอาเซลล์มะเร็งนั้นออกมาก่อนได้ หรือทำการผ่าตัดก่อนรักษาก่อนเลย และนอกจากจะหายป่วยได้แล้วมันยังจะถูกนำไปใช้ได้หลายๆวงการ เช่น วงการนักกีฬา วงการทหาร และยังช่วยได้ทั้งคนและสัตว์อีกด้วย

กลุ่มธุรกิจที่ 8 ESG  Environmental  Social and Governance คือเป็นธุรกิจที่มุ่งเน้น 3 อย่าง คืออสิ่งแวดล้อมไหม ช่วยเหลือสังคมไหม มีธรรมมาภิบาลที่ดีไหม ? ซึ่งเทรนร์ดนี้มีมาสักระยะแล้ว หลายๆกองทุนที่เงินเค้าใหญ่มาก บางครั้งก่อนจะลงทุนจะดูก่อนว่าป่าน 3 ข้อนี้ไหม? บางธุรกิจดีมากแต่มลพิษเยอะ เค้าก็จะไม่ลงทุน หรือว่ากำไรดีมากแต่ไม่ดีต่อสังคม เขาก็จะไม่ลงทุน หรือว่ามันดีมากเลยนะ แต่ในองค์กรเกดความไม่เท่าเทียมกัน ดุแลพนักงานได้ไม่ดี เขาก็ไม่ลงทุนอย่างนี้เป็นต้น

กลุ่มธุรกิจที่ 9 Cyber Security  เราเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้เยอะใช่ไหมเช่น มีคน Hack ข้อมูลของโรงพยาบาล ก็ต้องมีการต่อรองกับ Hacker ให้เงิน แบบนี้มีมานานแล้วและมีทั้งโลก แต่มันค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น มีการศึกษาว่ามั่วโลกมี Hacker ที่จะพยายามHack ระบบต่างๆสูงถึงทุกๆ 39 วินาที แปลว่าใน 1 วันจะมีการ Hack 2,200 กว่าครั้งซึ่ง Hack ได้หมดทุกอย่างในโลกนี้ คือทุกอย่างที่ใช้อินเตอร์เน็ต โดนHack โดนหมด เมื่อก่อนมีน้ำมันคือรวย แต่ทุกวันนี้ข้อมูลต่างหากที่ทำให้รวย ทำให้ Hacker พยายามจะ Hackข้อมูลไปขาย เอาไปเป็นตัวประกัน รวมไปถึงข้อมูลส่วนตัวของพวกเราทุกคนด้วย ทั้งข้อมูลจากมือถือ เบอร์บัญชี เบอร์ธนาคาร หมายเลขบัตรประชาชน

ดังนั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการปกป้อง หรือ Cyber Security  ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ อนาคตถ้าจะมีการรบกันอาจจะไม่ใช้เริอดำน้ำ รถถัง เครื่องบินรบ ไม่ต้องใช้แล้ว ใช้แค่ Hacker แต่ละประเทศใครมี Hacker ฌฏ๋.ฏซ๋ษฏํฯ  Hack ระบบของประทศตรงกันข้ามได้ก็ชนะแล้ว

และนี่คือ 9 ธุรกิจที่น่าลงทุนในปี 2022  แล้วคุณคิดว่าธุรกิจกลุ่มไหนที่น่าลงทุนที่สุด ในความติดของคุณ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ตอนที่ 2

ธุรกิจ

9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ธุรกิจที่ไปรอดในยุคโควิด ตอนที่ 2

ในบทความตอนที่ 1 ได้ทิ้งท้ายเนื้อหาเกี่ยวกับ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับ Met averse ไปบ้างแล้ว มาติดตามเนื้อกาที่น่าสนใจกับกลุ่มธุรกิจนี้กันต่อไปเลย

ถ้าพูดถึง Metaverse  ต้องมีคำสองคำที่ต้องรู้จักก็คือ VR & AR  VR คือ Virtual Reality  ก็คืออุปกรณ์ที่จะทำให้เจ้าไปในโลก Metaverse ได้ เช่นแว่นตา ส่วย AR ก็คือ Augmented Reality ซึ่งก็คือโลกเสมือน 

ถ้าเราจะลงทุนในธุรกิจ Metaverse ลงทุนอะไรได้บ้าง ก็อาจจะลงทุนในบริษัทที่สร้าง Metaverseขึ้นมา ซึ่งสามารถสร้างMetaverse ได้มากกว่า 1 บริษัท เพราะ Metaverse ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และ Metaverse มีฟลาย platform หรืคุณอาจจะลงทุนกับบริษัทที่ผลิตแว่น หรือจะลงทุนในค่ายโทรศัพท์มือถือก็ได้ เพราะว่าสุดท้ายก็ต้องใช้ อินเตอร์เน็ตอยู่ดี และ Metaverse จะสร้างธุรรกิจอีกมากมาย ต่อไปเราไม่ต้องมานั่งดูยุทูปแล้ว เพราะเราไปเจกันใน Metaverse ได้

3.กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้แงกับภาวะโลกร้อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และเป็นเรื่องเร่งด่วนี่พวเราต้องช่วยกัน

และธุรกิจที่จะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนกจะได้รับผระโยชน์ไปด้วยทั้งสองทางทั้งลดภาวะโลกร้อนและได้ทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ธรกิจที่ว่าคืออะไรบ้าง อย่างแรกคือ ลังงานบริสุทธิ์ เช่นโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก เป็นพลังงานที่มาจากลม พระอาทิตย์ แงแดด มาจากน้ำ หรือแม้กระมั่งมาจากนิวเคลีย อีกอันหนึ่งที่กำลังมาแรงคือ เนื้อเทียม หรือที่เค้าเรียกว่า plant based meat ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนเริ่มมีความมากข้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็เลยเลือกมานเนื้อทางเลือก หรือเนื้อเทียวกันมากขึ้น

นอกจากเราจะลงทุนในธุรกิจช่วยลดภถาวะโลกร้อนได้แล้ว พวหเราเองก็ต้องช่วยลดด้วย เช่น เปลี่ยนถุงพลาสติกเป็นถุงผ้า อะไรใช้ซ้ำได้ก็ใช้ซ้ำ ปิดไฟเมื่อไม่จำเป็น 

4.กลุ่มธุรกิจ  CLOUD แทบจะพูดไดเว่า 99.99 % ทุกคน CLOUD  ทั้งนั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อ้ม ทางอ้อมก็เช่น ถ้าคุณดูยูทูป ประชุมทาง ZOOM สิ่งเหล่านี้ใช้ CLOUD ส่วนทางตรงใช้อะไรบ้าง ก็เช่นมือถือ นานๆไป พื้นที่เก็บข้อมูลเต็ม เค้าก็จะขายพื้นที่เก็บข้อมู๔ลคุณเพิ่ม ถ้าเปรียบเหมือนโลกจริง ก็คือ โกดีงเก็บขิง นั่นเอง แต่ทุกวันนี้มะนเป็นโกดังในอินเตอร์เน็ต โกดังในอากาษศ ซึ่งมีจำนวนบริษัทมากมายที่ทำเรื่องนี้ ซึ่งผุ้นำที่ดีที่สุดตอนนี้คือ AMAZON ซึ่งเริ่มต้นก่อนเพื่อนและยังเป็นเจ้าตลาดอยู่ ตามาติดๆก็น่าจะเป็น ไมโครซอฟ

5.กลุมธุกิจ Cryptocurrence  ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมา  Cryptocurrence  มาแรงจริงๆ เลยทำให้หลายบริษัทใหญ่ต่องการทำอะไรสักอย่างที่ร่วมมือกับ Cryptocurrence   เช่นบริษัทอสังหาหลายๆที่ก็เริ่มขายคอนโดขายบามและรับจ่ายด้วย Cryptocurrence หรืออสังหาริมทรัพย์บ้างเจ้าก็เริ่มออกเหรียญเอง เช่น Token โดยใช้อังสหาของเค้าเป็นตัวรัองรับเป็นต้น  ล่าสุด ห้างสรรพสินค้าอย่างเช่นเดอะมอลล์ที่จับมือกับ บิสคัพ ต่อไปคุณไปช็อปปิ้งที่เดอกมอลล์ ก็สามารจ่ายเงินเป็นเหรียญต่างๆได้ แทนเงินสด นอกจากนั้นยังมีบางค่ายรถยนต์ ที่ขายรถยนต์และรับค่ารถเป็น Cryptocurrence และเชื่อว่าอีกภายใน2-3 ปี จะมีบริษัทต้องคิดแล้วว่า  เข้ามาร่วมมือกับ Cryptocurrence ได้อย่างไร จำนวนมากขึ้น

ผ่านมาแล้ว 5 ข้อ ยังเหลืออีก 4 กลุ่มธุรกิจ อย่าพลาดที่จะติดตาม “ 9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ธุรกิจที่ไปรอดในยุคโควิด” ตอนที่ 3 กันต่อ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ตอนที่ 1

ธุรกิจ

9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ธุรกิจที่ไปรอดในยุคโควิด ตอนที่ 1

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลงทุนและได้ผลตอบแทนมากว่าคนอื่น มาดูกันว่าธุรกิจที่น่าลงทุนในปี 2022  แบะจะไปรอดในยุคโตวิด

กลุ่มที่ 1 เทคโนโลยี 5 G  เพราะเทคโนโลยี 5 G จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเป็นอย่างมากมายมหาศาส เราต้องเข้าใจก่อนว่า สปีดของอินเตอร์เน็ตที่เร็วขึ้น สามารถทำอะไรได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การมียูทูปในผัจจับัน ถ้าเป็นช่วงที่สัญานอินอเตอร์เน็ตแบบแรงยังไม่ได้เข้ามาในยุคแรกๆ เราจะไม่สามารถดูยูทูปได้เลย อย่างเมื่อสมัยก่อนดูหนังก็ต้องเช่า DVD แต่เดี๋ยวนี้มี Netflix เกิดขึ้นมา  5 G ก็เหมือนกัน อย่างทุกวันนี้เรามี 4G ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว แต่ 5 G มันจะไม่ไดเร็วขึ้นเป็น 10 เท่านะ แต่มันจะเร็วขึ้นเป็นร้อยเท่าเลย เราฉะนั้นมันจะเปิดประตูสู่โลกใหม่มากมาย มันจะทำอำรได้อีกมากมาย เรียกได้ว่าสุดจินตนาการ ยกตัวอย่างเช่น การประชุมกันผ่าน ZOOM มันจะชัดขึ้น คมขึ้น ดู YOUTUBE มันก็จะเร็วขึ้น ดหลดหนังก็จะเร็วขึ้น เล่มเกมก็จะสนุกขึ้น ทุกอย่างมันจะดีขึ้นหมดเลย เพราะความเร็วสูงมาก อันนี้เคือเรื่องพื้นฐานง่ายๆ แต่จริงๆมันสามารถ ทันสมัยกว่านั้นได้ รถยนต์ก็ไม่ต้องใช้คนขับ แต่ถ้าไม่มี5G ปัญหาคือสัญญาณดีเลย์ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อไม่มีคนขับ เพราะสัญาณ delay  รถยนต์ขับได้ช้าอาจเกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้ามี 5G รถยนต์ไร้คนขับเกิดได้ ต่อไปรถบรรทุกส่งของจากเหนืไปใต้ ไม่มีคนขับเกิดได้ นั่งแท็กซี่ หนังรถGab  รถคุณจอดอยู่ที่บ้าน สามารถไปที่ทำงานไปได้ โดยไม่ต้องมีคนขับ ขับรถระหว่างทาง หลับได้ ดังนั้นเอนาคต 5 G มาแน่ๆ หรือว่าแม้กระทั่งการเกษตรก็ตาม ปกติต้องใช้คน รัดนม ให้อาหาร ต่อไป 5 G จะเปลี่ยนไปหมดเลย เปิดปิดประตูให้สัตว์ออกได้ ให้อาหารเป็นเวลาได้ โดยไม่ต้องใช้คน หรือแม้กระทั่งใส่ปุ๋ยรดร้ำ เป็นเวลาได้ด้วย รวมไปถึงโดนด้วยนะถ้ามี 5 G โดนจะทำอะไรได้มากขึ้น รวมไปถึงเป็นอาวุธสงครามที่น่ากลัวได้ด้วย

การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ 5 G  ลงทุนอะไรได้บ้าง แน่นอนไม่ใช่แค่ค่ายโทรศัพท์มือถือ มีได้มากกว่านั้นคือ บริษัทที่รับติดตั้งเสา เพราะ 5 G ต้องใช้เสา และเสาต้องถี่ หรือทำบริษัท รุยนต์ไร้คนขัย หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอกณณ์ไฟฟ้า  internet of thing  คือถ้าพูดถึง 5 G แล้วเครือข่าวที่เกี่ยวข้องกว้างมาก

2.กลุ่มธุรกิจ Metaverse ซึ่งคำนี้ ราชบัณฑิตยสภา ได้บัญญัติความหมายไว้ว่า จักรวาลนฤมิต เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ มันเริ่มาจาก facebook  เค้าออกมาบอกแล้ว่าเค้าเปลี่ยนชื่อมาเป้ฯ Meta แต่ทุกย่างยังเหมือนเดิมแต่เขาอยากจะสื่อสารว่าเขาทำอไรได้มากกว่านั้น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่แค่ facebook ที่ลงทุนใน Metaverse ไมโครซอฟก็ลงทุนในMetavers และมีหลายบริษัทที่กำลังเข้ามาฃงทุนใน Metavers ถ้าจะหาคำแปลง่ายๆของMetavers มันก็คือโลกออนไลน์ที่เข้าไปอยู่ในนั้นได้ เป็นโลกเสมือนจริง แต่คุณจะเข้าไปเป็น อวตาล คุณจะสามารถแต่งตัวยังไงก็ได้ แล้วก็ไปเจอกันในโลกMetavers ได้ และเราก็สามารถทำกิจกรรมในนั้นได้ 

กำลังสนุกเลยใช่ไหม ? ติดตามอ่าน “9 เทรนด์ธุรกิจที่น่าลงทุน ในปี 2022 ธุรกิจที่ไปรอดในยุคโควิด”  ตอนที่ 2

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

App Store ทำรายได้มากกว่า 260 พันล้านเหรียญ

App Store

ผู้พัฒนา App Store ทำรายได้มากกว่า 260 พันล้านเหรียญ

บริษัท Apple เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกมาให้พวกเราได้ใช้งานกันอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPod, iPad, iMac, Macbook, Apple Watch และอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งสินค้าแต่ละตัวนั้นก็มีการออกใหม่มาแทบจะทุกปีเลยก็ว่าได้ และยังคงเป็นที่นิยมของผู้ใช้งานอย่างสม่ำเสมอ ในแต่ละปี Apple สามารถที่จะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้จากการขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้

นอกจากขายอุปกรณ์เทคโนโลยีแล้วบริษัท Apple ยังเป็นตัวกลางในการจำหน่ายแอปพลิเคชันอีกด้วย  โดย Apple มีร้านค้าแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า App Store ซึ่งเปิดบริการครั้งแรกในปี 2008 โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนา App สามารถมาพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ และนำมาลงขายใน App Store ได้โดย Apple จะหัก 30% จากรายได้ต่อการขาย 1  ธุรกรรม  ซึ่งก็มีผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นมากมายที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ และนำมาลงใน App Store  นับตั้งแต่ App Store เปิดตัวมาจนถึงปัจจุบันนี้ผู้พัฒนา App สามารถสร้างรายได้จากการขายแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้มากถึง  260 พันล้านเหรียญเลยทีเดียวและในปีที่ผ่านมาก็สร้างรายได้ไปกว่า 60 พันล้านเหรียญ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเงินที่ได้มานั้นผู้พัฒนาก็ไม่ได้เงินอย่างเต็มที่เพราะนโยบายของ Apple ที่จะต้องหัก 30% นั่นเองแถมบริษัท Apple ก็ยังไม่เปิดโอกาสให้ผู้พัฒนารับเงินจากการขายบริการต่าง ๆ จากผู้ใช้งานโดยตรงอีกด้วยทุกอย่างจะต้องผ่าน Apple ซึ่งในส่วนนี้ก็ทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวระหว่าง Epic Games กับ Apple โดยปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับเกม Fortnite  

นอกจากการซื้อขายแอปพลิเคชันบน App Store แล้ว ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมาบริษัท Apple ได้มีการเปิดเผยว่ามีผู้ใช้งานจำนวนกว่า 745 ล้านที่มีการจ่ายค่าบริการต่าง ๆ ของ Apple ว่าจะเป็น Apple Music, Apple TV+, iCloud, Apple Arcade, Apple News+, และ Apple Fitness+  ซึ่งจำนวน 745 ล้านที่เป็นจำนวนของผู้ที่เข้ามาใช้จ่ายค่าบริการเป็นจำนวนที่สูงขึ้นมากกว่าปี 2020 ถึง 160 ล้านเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนนี้ก็สร้างรายได้ให้กับ Apple เป็นจำนวนมาก  โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วบริษัท Apple ก็สร้างรายได้เข้ากับบริษัทไปกว่า 83.4 พันเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 29 เปอร์เซ็นต์เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปี 2020

 จากการขายสินค้าและบริการต่าง ๆ มากมายบริษัท Apple และการมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาอยู่เสมอทำให้บริษัท Apple เป็นบริษัทที่เติบโตขึ้นอย่างมากและเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัท Apple ก็มีมูลค่าของบริษัทเกินกว่า 3 ล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คงตอบโตขึ้นอีกมากในอนาคตและในปีนี้ก็คงต้องมาติดตามดูว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆให้พวกเราได้ติดตามชมกันบ้าง 

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Apple ปิดร้านค้าป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด

Apple

บริษัท Apple เริ่มมีการวางแผนให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศ

ในขณะที่คนทั่วทั้งโลกกำลังเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ ธุรกิจหลาย ๆ ธุรกิจเริ่มเปิดกิจการอีกครั้ง พนักงานเริ่มกลับมาทำงานในบริษัท นักเรียนเริ่มกลับเข้าโรงเรียน เหมือนทุก ๆ อย่างจะเริ่มผ่อนคลายลงเมื่อเราเริ่มได้รับวัคซีนกันมากขึ้นและมีมาตรการป้องกันที่ดีมากยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่จะดำเนินไปได้ด้วยดีนั้นจะต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งหลังจากที่ทั่วทั้งโลกกำลังเจอกับการแพร่ระบาดโรคโควิดอีกครั้งหนึ่ง

จากการแพร่ระบาดในคราวนี้ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้ธุรกิจหลายๆ ธุรกิจก็เริ่มจะต้องปิดตัวลงพนักงานก็ต้องกลับมาทำงานที่บ้าน นักเรียนก็อาจจะต้องเรียนออนไลน์ต่อ หลายๆ ประเทศเริ่มประกาศมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอีกครั้งหนึ่ง หนึ่งในธุรกิจที่จะต้องชะงักตัวอีกครั้งหนึ่งก็คือบริษัท Apple 

บริษัท Apple เริ่มมีการวางแผนให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศอีกครั้งในช่วงปีหน้า และเริ่มมีการเปิดร้านค้าให้ผู้บริโภคเข้ามาซื้อสินค้าและบริการ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะต้องหยุดทุกอย่างลงอีกครั้ง สำหรับแผนการที่จะให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศนั้น ในตอนแรกทางบริษัทจะให้พนักงานกลับมาทำงานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้และก็ถูกยกเลิกไปในตอนนี้ก็ยังไม่ได้กำหนดการที่ชัดเจนออกมาให้เห็นและการเลื่อนเปิดออฟฟิศครั้งนี้บริษัท Apple ยังมีการแจกเงินให้กับพนักงานเพื่อใช้จ่ายที่บ้าน สำหรับการปิดร้านค้านั้นทาง Apple ได้มีการปิดร้านค้า 3 ร้านในสัปดาห์ที่ผ่านมา และในสัปดาห์นี้ก็มีการปิดเพิ่มอีกหลายร้านเลยทีเดียวเนื่องจากในประเทศสหรัฐอเมริกามียอดผู้ป่วยของโรคโควิดเพิ่มมากขึ้นและเริ่มมีการพบว่าพนักงานในร้านค้าของ Apple นั้นเริ่มมีการติดเชื้อโควิดแล้วโดยคิดเป็น 10%

และทันทีที่บริษัท Apple เริ่มปิดร้านค้าทางบริษัทเองก็เริ่มโปรโมทให้ผู้บริโภคนั้นหันมาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้นโดยเป็นการจัดโปรโมชั่นขึ้นมาเพื่อให้มีความปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคโควิดนั่นเอง โดยโปรโมชั่นดังกล่าวมี 2 ตัวโปรโมชั่นหลักก็คือ Free next-day delivery และ Free two-hour gift delivery (หมดเขตวันที่ 24 ธันวาคม 2564) ซึ่งบริการดังกล่าวยังไม่มีในประเทศไทย

ไม่ตอนนี้ทั่วทั้งโลกกำลังเจอกับการแพร่ระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่าสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งเป็นเชื้อที่มีการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้หลาย ๆ ประเทศกำลังหาวิธีการรับมือกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการแพร่ระบาดในคราวนี้อาจจะดูเหมือนว่าไม่ได้ร้ายแรงมากนักเพราะว่ามีวัคซีนที่พร้อมจะรับมือแล้วก็ตามที่แต่ก็มีผู้คนมากมายที่ตื่นตระหนก และที่สำคัญเลยก็คือมันกระทบต่อธุรกิจหลายธุรกิจอย่างแน่นอน

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Verge 

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

บริษัท Apple เปิดตัวได้อย่างสวยหรูในปี 2022

Apple

บริษัท Apple เปิดตัวได้อย่างสวยหรูในปี 2022 มูลค่าบริษัททะลุ 3 ล้านล้านล้านดอลลาร์

เมื่อพูดถึงบริษัทที่ประกอบธุรกิจรายใหญ่ของโลก หนึ่งบริษัทที่จะต้องนึกถึงเลยก็คือบริษัท Apple บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ผลิตเทคโนโลยีมาให้พวกเราได้ใช้งานกันพี่ช่วงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาและได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ ยอดขายผลิตภัณฑ์ในแต่ละปีก็เรียกได้ว่าถล่มทลาย และก็ยังไม่หยุดพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เลยแม้แต่ปีเดียว

จำนวนยอดการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปีทำให้บริษัท Apple เติบโตขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งเราสามารถดูได้จากหุ้นของ Apple ที่มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นในแต่ละปีนับตั้งแต่ปี 2019 ก็มีราคาสูงขึ้นมาอย่างมากเลยทีเดียวเพียงเวลาแค่ 3 ปีบริษัท Apple บริษัท Apple มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 400 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวโดยเพิ่มจากราคาประมาณ 40 ดอลลาร์ในวันที่ 2 มกราคม 2019 มาเป็น 182 ดอลลาร์ในวันที่ 4 มกราคม 2022 (อิงจากกราฟราคาเว็บไซต์เทรดดิ้งวิว) การเติบโตอย่างเร็วขนาดนี้ทำให้บริษัทแอปเปิ้ลกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าของบริษัทเกิน 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลาเพียง 1 ปีกว่าเท่านั้นเอง 

และบริษัท Apple จึงกลายเป็นบริษัทแรกที่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่ามากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างมากและเป็นบริษัทที่เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างที่อยู่บนโลกของเรา

ถึงแม้ว่าบริษัท Apple จะเป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิดเหมือนกับบริษัทอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ก็ยังสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาให้ผู้บริโภคได้ใช้งานกันได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ เลยทีเดียวที่สำคัญผลิตภัณฑ์ที่ถูกเปิดตัวมานั้นก็เป็นที่นิยมเสียด้วย โดยเมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมาบริษัท Apple สามารถจำหน่าย Airpods จำนวนกว่า 27 ล้านเครื่อง ซึ่งทำให้บริษัทเติบโตปีต่อปีกว่า 20% เลยทีเดียว และในช่วงไตรมาสที่ 4 บริษัท Apple สามารถเติบโตปีต่อปีได้สูงถึง 29% จากการขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โทรศัพท์ iPhone ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ชูโรงของ Apple

ปี 2022 นี้ก็ต้องมาติดตามดูว่าบริษัท Apple จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อะไรบ้างออกมาให้พวกเราได้เห็นกัน จะเป็น iPhone รุ่นใหม่ iPad รุ่นใหม่ หรือว่า Apple Watch รุ่นใหม่ หรือว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือซอฟต์แวร์อื่น ๆ ก็คงต้องมาติดตามกันในช่วงกลางปีและช่วงปลายปีที่จะมีการจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Apple แล้วที่สำคัญราคาของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นั้นจะมีราคาเท่าไหร่กันบ้างเพราะในแต่ละปีผลิตภัณฑ์ที่ออกโดย Apple และมีราคาสูงขึ้นทุกปีเลยทีเดียว แต่ก็มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก CNBC , iPhonemod

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

พฤติกรรมที่ทำให้มือใหม่ขาดทุนได้ในตลาดขาขึ้น

คริปโต

7 พฤติกรรมที่ทำให้มือใหม่ขาดทุนได้ในตลาดขาขึ้น

ช่วงขาขึ้นของเหรียญคริปโต ถือว่าเป็นโอกาสทองที่เราจะหากระแสเงินสดจากการทำกำไรในช่วงขาขึ้น  เหล่ามือใหม่นักเทรดคริปโตที่ยังมีประสบการณในการลงทุนไม่มากนัก อาจเผชิญปัญหาขาดทุนในช่วงแรก วันนี้เราจึงมาไขข้อสงสัย 7 พฤติกรรมที่ทำให้เหล่านักลงทุนมือใหม่ขาดทุนได้

1. ขาดความรู้ในการลงทุน

        การลงทุนทุกครั้งต้องใช้กลยุทธ์และการวางแผนในการเทรดแต่ละครั้งอย่างรอบคอบ ใช้สิ่งที่เรียนมาประยุกต์ใช้ แล้วเรียนรู้จากสิ่งที่เราทำสำเร็จ และทำผิดพลาด อยากเทรดในเหรียญที่เราไม่รู้ลึกรู้จริง 

2.ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการเทรด 

        การลงทุนไม่ควรใช้อารมณ์ มากกว่าเหตุผล เพราะนอกจากจะเสี่ยงขาดทุนย่อยยับแล้ว ยังเสียกำลังใจ รู้สึกท้อ เมื่อเราเทรดแล้วขาดทุน จะฝึกส่วนนี้ได้จากการมีประสบการณ์ในการเทรดมากขึ้น

3. เทรดระยะสั้น ในช่วงตลาดขาขึ้น 

      การทำกำไรในช่วงสั้นๆ ตอนขาขึ้น ด้วยการซื้อแล้วขายทิ้ง ภายในไม่กี่นาที เป็นสิ่งที่เสี่ยงมาก เพราะจะทำให้เรามีโอกาสขาดทุนมากเช่นกัน และอาจเสียโอกาสในการทำกำไร ถ้าเราขาดการวิเคราะห์กราฟก่อนลงทุน

4. ไม่ใช้จุด cut loss ให้เป็นประโยชน์ 

      จุด cut loss มีไว้เพื่อ ตั้งจุดที่ขาดทุนในราคาที่เรายอมรับความเสี่ยงได้ มันมีประโยชน์มากที่จะใช้ในช่วงที่เราไม่ได้ดูสภาวะตลาดในขณะนั้น

5. กังวลจนเกินไป กลัวว่าจะเสียโอกาสในการลงทุน

      การเปิดดูพอร์ตการลงทุน หรือกราฟเทรดคริปโตบ่อยๆ ทำให้เราจิตตก กลัวขาดทุน แล้วทำให้เราขายทิ้งได้ง่ายดาย เมื่อราคาร่วงลงเพียงนิดเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อลงทุนแล้วเราต้องเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเองเสมอ มีการตั้งจุด cut loss ไว้

6. หวังรวยทางลัด 

        หวังรวยทางลัดด้วยการเทรดเหรียญที่คนอื่นปั่นราคา เหรียญประเภทมีม เหรียญชนิดใหม่บน Defi เนื่องจากเสี่ยงตรงที่หากเหรียญไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้น ผู้คนลดความสนใจลง ทำให้เหรียญเหล่านั้นมูลค่าลดลงตามไปด้วย

7. นำเงินร้อนมาเทรด

          เราควรใช้เงินเย็นมาเทรด เงินเย็นในที่นี หมายถึง เงินที่เป็นเงินเก็บ แยกมาจากเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เงินสำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน และเงินเกษียณนะคะ  เพราะเงินเย็นเราสามารถเสี่ยงได้มากกว่าเงินร้อน  ถ้าเราใช้เงินร้อน เราจะกลัวขาดทุนมากกว่า เนื่องจากการลงทุนในคริปโต มีความเสี่ยงสูงมากกว่าหุ้นเสียอีก แต่ได้รับผลตอบแทนเร็ว

และนี่ก็เป็นตัวอย่างพฤติกรรมเสี่ยงที่หากใครไม่อยากเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟแล้วหล่ะก็ ควรเลิกทำพฤติกรรมพวกนี้และเราควรเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง ตอนที่เราเทรดคริปโตอาจจะบันทึกวีดีโอขณะที่เราเทรด เพื่อดูว่าตอนนั้นเราตัดสินใจซื้อ-ขายด้วยอารมณ์หรือเหตุผลกันแน่ โดยสิ่งที่จะช่วยให้เหล่านักเทรดมือใหม่ ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และสภาวะตลาดในช่วงนั้นด้วยค่ะ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

บริษัท Amazon โดนปรับ 500,000 ดอลลาร์

Amazon

บริษัท Amazon โดนปรับ 500,000 ดอลลาร์ ไม่เตือนผู้ติดเชื้อโควิด

บริษัท Amazon บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจ e-commerce ของประเทศอเมริกาได้ถูกปรับเงินเป็นจำนวน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีการปิดบังจำนวนเคสผู้ป่วยโควิดในสถานที่ทำงานรัฐแคลิฟอร์เนีย 

อัยการของรัฐแคลิฟอร์เนียได้มีการสั่งลงโทษบริษัท Amazon เนื่องจากทางบริษัทไม่ได้มีการแจ้งเตือนพนักงานที่ทำงานในคลังสินค้าและหน่วยงานสุขภาพท้องถิ่นเกี่ยวกับเคสผู้ป่วยโรคโควิดใหม่ ทำให้ทางหน่วยงานนั้นไม่สามารถติดตามผู้ป่วยได้ โดยสื่อ LA Times ได้มีรายงานว่าตามกฎหมายแล้วผู้ที่เป็นนายจ้างจะต้องเตือนลูกจ้างผู้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคโควิดภายในระยะเวลา 1 วัน แล้วจำเป็นที่จะต้องส่งรายงานไปที่หน่วยงานสุขภาพท้องถิ่นภายใน 48 ชั่วโมง

ถึงแม้ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาภายในรัฐต่าง ๆ จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโรคโควิดก็ยังไม่สิ้นสุดลง ทำให้ทางบริษัทเองก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกจ้างของตัวเองโดยการปกป้องพวกเขาในวันที่ทำงานและในช่วงวันหยุด ซึ่งบริษัท Amazon ได้มีการละเลยในจุดนี้ไป ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพนักงานที่ทำงานในคลังสินค้าที่มิชิแกนได้รับความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ติดเชื้อโควิด เนื่องจากทางบริษัท Amazon นั้นไม่ยอมแจ้งเตือนว่าผู้ร่วมงานของเขาเป็นผู้ติดเชื้อ และทางพนักงานที่อยู่ที่เมืองนิวยอร์คก็ได้มีการออกมา Walk Out เพื่อให้ทางบริษัทนั้นเข้มงวดในเรื่องการรับมือของการแพร่ระบาดมากกว่านี้ ซึ่งทางบริษัท Amazon ก็ไม่ได้มีการตอบโต้แล้วพูดถึงจำนวนผู้ป่วยที่ทำงานอยู่ในคลังสินค้าทั่วประเทศ มีเพียงการเปิดเผยจำนวนในช่วงเดือนตุลาคมปี 2020 ที่ผ่านมา

และนับตั้งแต่ประเทศอเมริกาเริ่มต้นมีการฉีดวัคซีนทางบริษัท Amazon ก็เริ่มมีการออกกฎระเบียบให้กับพนักงานที่ได้มีการฉีดวัคซีนแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใส่แมส และกำลังให้พนักงานส่วนใหญ่กลับมาทำงานในออฟฟิศในปี 2022 ที่จะถึงนี้ 

จากการเสียเงินค่าปรับไปเป็นจำนวน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ คงทำให้บริษัท Amazon มีการควบคุมดูแลพนักงานตัวเองมากขึ้น และอาจจะมีความกระตือรือร้นที่จะแจ้งเตือนเคสผู้ป่วยโควิดมากขึ้นก็เป็นได้ และคงเป็นบทเรียนให้กับหลาย ๆ บริษัทที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ถ้าหากว่ามีการละเลยที่จะแจ้งเตือนพนักงานภายในบริษัทเกี่ยวกับจำนวนเคสผู้ป่วย ก็คงจะเสียค่าปรับเช่นเดียวกับบริษัท Amazon อย่างแน่นอน คาดว่าคงจะได้เห็นหลายๆ บริษัทมีการปรับตัวและปกป้องพนักงานของตัวเองให้ปลอดภัยจากการติดเชื้ออย่างแน่นอน

ภาพจาก Wall.alphacoders

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Google จะลงทุนในทวีปแอฟริกา

Google

บริษัท Google เข้าไปลงทุนในทวีปแอฟริกาด้วยจำนวนเงินมาถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ถึงแม้ว่าตอนนี้โลกของเรานั้นจะเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีแล้วแต่ว่าในแต่ละพื้นที่ของโลกนั้นก็มีความสามารถของเทคโนโลยีแตกต่างกันออกไป ประเทศที่มีการพัฒนาแล้วก็จะมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปกว่าประเทศที่กำลังพัฒนาและสำหรับในประเทศที่พัฒนาช้าก็จะมีเทคโนโลยีที่ไม่ดีเท่าประเทศที่พัฒนาหรือกำลังพัฒนา ซึ่งการมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตทำให้ชีวิตนั้นมีความสะดวกสบายมาก ซึ่งก็หมายความว่าประเทศที่เทคโนโลยีพัฒนาและก้าวล้ำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วนั้นประชาชนภายในประเทศนั้น ๆ ก็จะมีความสะดวกสบายมากกว่าประเทศที่ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยียากนั่นเอง โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกาที่คนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีชีวิตที่ดีเหมือนกับทวีปอื่น ๆ และการเข้าถึงเทคโนโลยีของบางประเทศนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากทำให้ในทวีปแอฟริกานั้นมีการเติบโตทางด้านธุรกิจที่ช้ากว่าประเทศที่พัฒนาแล้วนั่นเองยิ่งในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้การเติบโตนั้นชาร์จยิ่งขึ้นไปอีก 

บริษัท Google จึงจะเข้าไปลงทุนในทวีปแอฟริกาด้วยจำนวนเงินมาถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้มีการประกาศมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเงินลงทุนจำนวนดังกล่าวนั้นมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการเชื่อมต่อของอินเทอร์เน็ตในทวีปแอฟริกานั่นเอง รวมไปถึงเป็นเงินทุนสนับสนุนเหล่า startup ภายในประเทศในทวีปแอฟริกาด้วย

โดยในงาน Google for Africa event ที่ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกนั้นบริษัท Google ได้ก่อตั้งกองทุนการลงทุนแอฟริกาโดยเป็นการร่วมมือกับ Kiva เพื่อขอเงินกู้ 10 ล้านดอลลาร์ ในการช่วยเหลือ startup ในประเทศเคนยา ประเทศกานา ประเทศแอฟริกาใต้ และประเทศไนจีเรียให้ผ่านพ้นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิตนี้ไปได้ นอกจากนี้กองทุนรวมดังกล่าวจะทำให้ startup สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประมาณ 5 ปีข้างหน้านี้

การช่วยเหลือทวีปแอฟริกาของบริษัท Google นั้นคงช่วยให้ทวีปแอฟริกานั้นสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีรวมไปถึงการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและเหล่าธุรกิจ startup มากมายเลยทีเดียว และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะเข้าไปลงทุนในทวีปแอฟริกาในอนาคตก็เป็นได้ และที่สำคัญเลยก็คือทำให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้นผู้คนที่ไม่เคยเข้าถึงเทคโนโลยีก็สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นแล้วมีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองแล้วเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างดีมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Evergrande Crisis กระทบเศรษฐกิจโลก

Evergrande Crisis

บริษัท Evergrande Group เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2539

เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกันยายนที่ผ่านมาในโลกของเศรษฐกิจและการลงทุนพวกเราคงจะได้เห็นการปรับตัวลงของตลาดอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเป็นหุ้นดัชนีหรือว่าคริปโต ซึ่งทั้งหมดน่าจะมีเหตุผลมาจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน

ตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงสำหรับแวดวงข่าวเศรษฐกิจเลยก็ว่าได้สำหรับบริษัท Evergrande Group ที่กำลังเป็นหนี้ก้อนโตและเสี่ยงต่อการล้มละลายโดยบริษัท Evergrande Group เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2539 และได้มีโครงการจำนวนมาก รวมถึงผู้ที่เข้าไปลงทุนก็มีจำนวนมากเช่นเดียวกัน แต่ว่าบริษัทนี้ก็เป็นหนี้อยู่เป็นจำนวนมหาศาลโดยคิดเป็นจำนวนได้มากถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลมากบวกกับตอนนี้ประเทศจีนกำลังมีมาตรการเกี่ยวกับในเรื่องของการกู้ยืมทำให้ตอนนี้ทางบริษัท Evergrande Group ประสบกับปัญหาทั้งภายในและภายนอกเลยทีเดียว ซึ่งทางบริษัทก็กำลังหาวิธีในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยประธานของบริษัทก็มีความมั่นใจว่า Evergrande Group จะผ่านพ้นวิกฤตดังกล่าวไปได้แล้วจะดำเนินการทุกอย่างให้เรียบร้อยไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบโครงการ แสดงความรับผิดชอบต่อผู้ซื้อหุ้น นักลงทุนและผู้ถือหุ้นทั้งหมด

และจากปัญหาการเป็นหนี้สินดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นสหรัฐ ตลาดหุ้นจีน รวมไปถึงคริปโตเคอเรนซี่ด้วย และถึงแม้ว่าในตลาดเงินดิจิตอลนั้นจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวมากนักแต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็มีความหวาดกลัวทำให้ราคาของเหรียญส่วนใหญ่มีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงนั่นเอง ซึ่ง Stable Coin ที่เป็นเหรียญที่มีราคาอ้างอิงตามเงินสกุลต่างๆ ของโลกตัวอย่างเช่น USDT ก็ติดผลพวงปัญหานี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยทางบริษัทที่พัฒนาเหรียญดังกล่าวนั้นได้มีการลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการลงทุนกับบริษัท Evergrande Group นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามด้วยความเป็น Stable Coin ทำให้ราคานั้นไม่ลดลงรุนแรงมากนัก แต่ที่สำคัญเลยก็คือการทำให้สภาพคล่องของตลาดเงินดิจิตอลนั้นลดลงนั่นเอง

สิ่งที่น่าสนใจเลยก็คือทางประเทศจีนนั้นจะเข้ามาช่วยในเรื่องปัญหาดังกล่าวนี้อย่างไร บริษัทEvergrande Group จะผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยไม่ล้มละลายได้หรือไม่ และที่สำคัญเลยก็คือจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศและภายนอกประเทศและตลาดการลงทุนในระยะยาวหรือระยะสั้นก็คงต้องมาติดตามข่าวกันต่อไป 

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก อีไฟแนนซ์ไทย , โพสต์ทูเดย์ , The Standard

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook