อนาคตของเงินดิจิตอลที่สดใส

อนาคตของเงินดิจิตอลที่สดใส

ในช่วงนี้ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลนั้นมีความคึกคักเป็นอย่างมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เงินดิจิตอลหลายๆ เหรียญก็ทำราคาสูงสุดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายนจนตอนนี้เหรียญที่ทุกคนจับตามอง Bitcoin ก็สามารถทำราคามากกว่า 2 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเหรียญอื่น ๆ ก็ทำกำไรให้กับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก

Cr.Pngaaa

เว็บไซต์ Coinbase ที่เป็นกระดานแลกเปลี่ยนซื้อขายเงินดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐที่ถูกกฎหมาย ได้นำบริษัท Coinbase เข้าสู่เว็บไซต์ตลาดหุ้น nasdaq ของสหรัฐอเมริกาด้วยวิธี Direct listing แล้วปิดการซื้อขายวันแรกที่ราคา 328.28 $ สูงกว่าราคาเปิดตัวมากถึง 31.31 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าหลังจากเปิดให้ซื้อขายที่ตลาดหุ้นก็กลายเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากในประเทศสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว เรียกว่าตอนนี้ตลาดซื้อขายเงินดิจิตอลในสหรัฐนั้นกำลังเป็นกระแสอย่างมากเลย

Cr.Wikimedia

พอได้ยินข่าวเช่นนี้แล้วเมื่อหันมามองในประเทศไทยบริษัทที่เป็นเว็บไซต์ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Bitkub ที่ปัจจุบันนี้ก็กลับมาเปิดรับลูกค้าเพิ่มและก็เป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากเช่นเดียวกัน โดยล่าสุดคุณท็อป จิรายุส CEO ของบริษัท Bitkub ก็ได้ออกมาขอความคิดเห็นของสมาชิกผู้ติดตามผ่าน Facebook Fanpage เรื่องการ IPO หุ้น ของบริษัท Bitkub เช่นเดียวกับบริษัท Coinbase ของประเทศสหรัฐอเมริกา กับ การสร้างเหรียญดิจิตอล Bitkub เป็นของตัวเอง ซึ่งหลังจากมีการโพสต์เรื่องนี้ออกไปก็สร้างความสนใจให้กับผู้ติดตามของแฟนเพจเป็นอย่างมากหลาย ๆ คนก็ต้องการการ IPO หุ้น อีกหลายคนก็ต้องการเหรียญดิจิตอล Bitkub และก็ยังมีอีกหลายคนที่เห็นด้วยกับทั้งสองอย่าง ทางนี้ก็ต้องมาดูว่าทางบริษัทจะตัดสินใจเช่นไร แต่ว่าผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ก่อนก็จะเป็นผู้ใช้บริการของเว็บเทรด Bitkub

ดูโพสต์จริงได้ที่Facebook Top Jirayut

ตอนนี้ทางบริษัท Bitkub ก็สร้างผลกำไรได้สูงมากและถ้าในปีนี้สามารถทำกำไรได้มากกว่า 1000 เปอร์เซ็นต์ก็อาจจะได้กลายเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย

จากในอดีตคนมองว่าเงินดิจิตอลเป็นเพียงแค่ทรัพย์สินที่ใช้เก็งกำไร หรือหลายคนมองว่าเป็นทรัพย์สินที่ยังไม่มีความแน่นอนเนื่องจากยังไม่มีทรัพย์สินอื่น ๆ มารองรับ และเป็นทรัพย์สินที่มีความผันผวนสูงจึงมีความเสี่ยงที่จะลงทุน แต่จากการที่บริษัท Coinbase สามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาได้นั้น ก็คงจะเป็นตัวยืนยันได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมรับในเงินดิจิตอล และสร้างความมั่นใจให้กับใครหลาย ๆ คนได้อีกด้วย ในอนาคตวงการเงินดิจิตอลก็คงจะสดใสอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก Blognone, Siamblockchain, Cnn

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

รถยนต์ Daymak ขุด Crypto ได้

รถยนต์ Daymak ขุด Crypto ได้!

เทคโนโลยีในโลกของเราเริ่มก้าวล้ำจนเราไม่สามารถจินตนาการได้แล้ว หลังจากในปีนี้โลกของการเงินได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยการที่กระแสของเงินดิจิตอลหรือว่า Cryptocurrency เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อโลกของการเงินมากขึ้น และก็ได้ถูกพูดถึงมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาด้วยราคาที่สูงขึ้นทำให้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น และก็ทำให้คนหันมาทำกำไรกับตลาดเงินดิจิตอลมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกันซึ่งนอกจากการซื้อขายแล้วก็สามารถทำการขุดเพื่อที่จะเงินดิจิตอลสกุลต่าง ๆ มา

ภาพจาก Canva

สำหรับการขุดนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้การ์ดจอที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมากในการเร่งหรือการเพิ่มปริมาณการขุด ซึ่งในตอนนี้ก็กำลังเป็นเทรนที่หลายคนนั้นกำลังทำกัน โดยคนที่มีเงินจำนวนมากก็จะใช้การ์ดจอจำนวนมากในการขุด ซึ่งการที่คนจำนวนมากหันมาใช้วิธีการขุดเงินดิจิตอลมากขึ้นนั้นทำให้อุปกรณ์อย่างการ์ดจอขาดตลาดและมีราคาที่สูงขึ้น นอกจากจะมีการ์ดจอจะมีราคาสูงขึ้นการขุดเงินที่เท่านั้นยังถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งมันก็ทำให้วงการเงินดิจิตอลนั้นถูกมองในแง่ร้ายมากขึ้น แต่ในอนาคตเรามีทางเลือกมากขึ้นในการขุดเงินดิจิตอล โดยในอนาคตจะมีรถยนต์ที่สามารถกดเงินดิจิตอลได้แล้ว

ภาพจาก Daymak

รถยนต์ไฟฟ้า “Spiritus” เป็นรถยนต์ที่จะถูกผลิตออกมาในปี 2023 โดยบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสัญชาติแคนาดาที่มีชื่อว่า “Daymak” ซึ่งความพิเศษของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ก็คือสามารถขุด Bitcoin รวมถึงเงินดิจิตอลสกุลอื่น ๆ ได้ ในขณะที่รถกำลังใช้ไฟฟ้าและจอดอยู่ ที่สำคัญทางบริษัทยังยืนยันอีกว่ารถยนต์คันนี้จะใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาความสิ้นเปลืองพลังงานของการขุดเงินดิจิตอลเลยทีเดียว ที่สำคัญเลยก็คือ Spiritus สามารถสั่งจองได้แล้ว และสามารถชำระเงินด้วย Cryptocurrency ได้ โดยเหรียญที่รับชำระมีดังนี้ Dogecoin, Bitcoin, Ethereum และ Cardano

ภาพจาก Daymak

รถยนต์ไฟฟ้า Spiritus จะมีทั้งหมด 2 รุ่นได้แก่รุ่น Deluxe และรุ่น Ultimate ซึ่งจะมีราคาที่แตกต่างกัน เริ่มจากรุ่น Deluxe จะมีราคาโดยประมาณอยู่ที่ 622,644 บาท  (19,995 USD) และรุ่น Ultimate มีราคาโดยประมาณอยู่ที่ 4,639,860 บาท (149,000 USD) ซึ่งประสิทธิภาพและศักยภาพของรถยนต์ก็จะมีความแตกต่างกันตามรุ่นและราคาที่ได้ประกาศออกมา

ข้อมูลจาก Siamblockchain

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Meta เตรียมสร้างเงินดิจิตอลของตัวเองอีกครั้ง

Meta

บริษัท Meta หรืออดีตมีชื่อว่า Facebook กำลังวางแผนที่จะสร้างเงินดิจิตอลของตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ในช่วงก่อนการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ได้มีการพูดถึงเกี่ยวกับเงินดิจิตอลมาแล้วครั้งหนึ่งในชื่อว่า Diem และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ถูกล้มเลิกไปและไม่ได้มีการพูดถึงมาอีกมาเป็นระยะเวลาหนึ่งจนล่าสุดดูเหมือนว่าทางบริษัทจะมีการวางแผนเกี่ยวกับการสร้างเหรียญดิจิตอลอีกครั้งโดยคราวนี้จะใช้ชื่อว่า “Zuck Bucks” (ในตอนนี้ยังไม่ใช่ชื่อที่เป็นทางการแต่เป็นการใช้ชื่อของมาร์คซัคเคอร์เบิร์กผู้ที่เป็น CEO ของบริษัทในการตั้ง)

ภาพ Wallpaperaccess

Zuck Bucks จะไม่เป็นเหมือนกับคริปโตเคอเรนซี่ที่กำลังเป็นที่นิยมและเป็นที่ถูกพูดถึงในปัจจุบันนี้แต่จะเป็นสกุลเงินที่ใช้ในแบบของ in-app ที่จะมีการรวมศูนย์และถูกควบคุมโดยบริษัท ซึ่งจะให้ยกตัวอย่างรูปแบบของสกุลเงินในรูปแบบเดียวกันก็จะยกตัวอย่างเป็นเหรียญ Rubux ที่เป็นสกุลเงินของเกม Roblox มีความเป็นไปได้ว่าทางบริษัท Meta จะคัดลอกความสำเร็จของ Roblox ออกมาด้วย ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็ต้องมาติดตามกันดูว่าสกุลเงินที่ทางบริษัท Meta จะสร้างขึ้นนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่และจะมีรูปแบบเป็นเช่นไร โดยระบบการเงินดังกล่าวของทาง Meta นั้นก็มีแนวโน้มที่ทางบริษัทจะใช้งานในรูปแบบการกู้ยืมให้กับธุรกิจเล็ก ๆ ด้วย

ภาพ Pixabay

พูดถึงสกุลเงินดิจิตอลก็ต้องพูดถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างแน่นอนสำหรับบริษัทMeta ก็เป็น 1 บริษัทที่กำลังก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีบล็อกเชนด้วยเช่นเดียวกันเพราะจุดประสงค์หลักของบริษัทนั่นก็คือสร้างโลกเสมือนจริง Metaverse และในโลกเสมือนจริงระบบเศรษฐกิจก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเช่นเดียวกันดังนั้นเงินคริปโตเคอเรนซี่จึงเป็นส่วนสำคัญและในอนาคตทางบริษัท Meta ก็มีการวางแผนที่จะทำการตลาดเกี่ยวกับในเรื่องของ NFTs อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถโพสต์และแชร์ผลงาน NFT ชื่อบน Facebook ได้ รวมถึงอนุญาตให้มีการ Mint NFT ได้ด้วย สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกของ Facebook

ภาพ Wallpapercave

Metaverse เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากและมีแนวโน้มว่าจะเป็นกระแสหลักของเทคโนโลยีในโลกอนาคตเลยก็ว่าได้การวางแผนของทาง Meta คงจะเป็นการต่อยอดให้เป้าหมายของบริษัทนั้นประสบความสำเร็จได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นและอาจจะเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีนี้ไปเลยก็เป็นได้เหมือนกับในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาที่ทาง Facebook ก็เป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านสื่อสังคมออนไลน์มาโดยตลอด

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ข้อมูลจาก The Verge

อีลอนมัสก์บอก “เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายคริปโต”

อีลอนมัสก์

อีลอนมัสก์บอกเงินดิจิตอลหรือคริปโตเคอเรนซีนั้นไม่สามารถจะถูกทำลายได้ในตอนนี้

เรียกได้ว่าเป็นปีที่มีการพูดถึงเงินดิจิตอลกันอย่างสม่ำเสมอเลยทีเดียวและเป็นปีที่ทำให้หลายคนได้รู้จักและเริ่มหันมาศึกษาและลงทุนในเงินดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์การที่เงินดิจิตอลได้รับความนิยมมากขึ้นนั้นทำให้บริษัทหลาย ๆ บริษัทเริ่มหันมาให้ความสนใจรวมไปถึงประเทศหลาย ๆ ประเทศด้วยเช่นเดียวกัน

จากความนิยมและการเป็นที่รู้จักมากขึ้นนี้ทำให้ผู้คนออกมาพูดถึงกันมากขึ้นและก็มีหลากหลายมุมมองด้วยเช่นเดียวกันบางคนก็สนับสนุนส่วนบางคนก็เห็นต่าง ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนนั้นเห็นได้ว่าในอนาคตเงินดิจิตอลนั้นจะเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตมากขึ้นและอาจจะเข้ามายกระดับการเงินให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ว่าสำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็มองว่าเงินดิจิตอลนั้นเป็นเพียงแค่ทรัพย์สินที่ไม่มีมูลค่าหรือว่าเม็ดเงินมารองรับและอาจจะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องของการเงินได้

โดยฝังที่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงก็คือประเทศจีนที่ได้ออกมาระงับการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินดิจิตอลและไม่ให้มีการทำเหมืองขุดเหรียญต่าง ๆ อีกด้วยรวมไปถึงยังพยายามผลักดันดิจิตอลหยวนซึ่งเป็นเงินดิจิตอลภายในประเทศให้เป็นที่นิยมมากขึ้น และถึงแม้ว่าประเทศจีนจะออกมากดดันเงินดิจิตอลมากเพียงใดแต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงแค่ผลกระทบต่อราคาของเงินดิจิตอลในระยะสั้นเพียงเท่านั้น

ทางฝั่งผู้สนับสนุนอย่างเช่นอีลอน มัสก์ก็ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกันโดยเขาบอกว่า “เงินดิจิตอลหรือคริปโตเคอเรนซีนั้นไม่สามารถจะถูกทำลายได้ในตอนนี้ โดยสามารถทำได้เพียงแค่ทำให้มันช้าลงเพียงเท่านั้น” และเขายังแนะนำให้รัฐบาลทั่วโลกนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามาพยายามควบคุมคริปโตเคอเรนซี่ โดยเขาก็ได้บอกถึงสาเหตุว่าทำไมรัฐบาลหลาย ๆ รัฐบาลทั่วโลกจึงพยายามที่จะลดอำนาจของเงินดิจิตอล ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่า ด้วยพื้นฐานของเงินดิจิตอลนั้นสามารถที่จะเข้ามาลดอำนาจของรัฐบาลได้นั่นเอง

ถึงแม้ว่าหลาย ๆ ประเทศจะพยายามระงับการใช้งานเงินดิจิตอลก็ตามทีแต่ว่าเงินดิจิตอลก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีก ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลอย่างเดียวสำหรับเงินดิจิตอลก็คือการขุดเหรียญต่าง ๆ นั่นเองเพราะว่าการขุดเหรียญนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกนั้นกำลังจับตามองและกำลังหาทางแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด ซึ่งก็ต้องดูต่อไปว่าปัญหาดังกล่าวจะถูกแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด และภายใต้ความกดดันจากหลายๆ ประเทศจะทำให้เงินดิจิตอลนำเติบโตช้ามากเพียงใด และถึงแม้จะถูกกดดันมากมายแต่ก็ต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่าการมาของเงินดิจิตอลทำให้มีช่องทางในการสร้างรายได้ที่หลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเกม, NFT, DeFi และอื่น ๆ

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Gadgets.ndtv

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Bitcoin ราคาขึ้นใกล้ถึงจุดสูงสุดเดิมอีกครั้ง

Bitcoin

Bitcoin กลับมาใกล้จุดสูงสุดเดิมอีกครั้ง

หลังจากที่ช่วงต้นปี 2020 ราคาของ Bitcoin ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลนั้นมีราคาแตะ 1 ล้านบาทราคาของ Bitcoin ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงเดือนเมษายนที่ราคาของ Bitcoin ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ราคาเหนือ 2 ล้านบาท (ประมาณ 2,130,000 บาท) ทำให้ในช่วงต้นปีนี้ตลาดเงินดิจิตอลมันคึกคักเป็นอย่างมากเลยทีเดียวแต่หลายคนหันมาลงทุนเพราะนอกจากเหรียญ Bitcoin ที่เป็นเหรียญที่ใหญ่ที่สุดในตลาดราคาขึ้นแล้วเหรียญอื่น ๆ ก็มีราคาขึ้นตามไม่ว่าจะเป็น Ethereum, ADA, XRP และเหรียญอีกจำนวนมากมีราคาขึ้นตามกันมาทำให้สร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนและผู้ที่เข้ามาเก็งกำไรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่หลังจากช่วงเดือนเมษายน ราคาของ Bitcoin ก็เหมือนกับดาวตกมีราคาลดลงมากกว่า 50% จนถึงช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาราคาของ Bitcoin ก็กลับไปยืนที่ 1 ล้านบาท ในช่วงนั้นก็มีข่าวมากมายที่เป็นข่าวในแง่ลบที่ทำให้ราคาของ Bitcoin นั้นลดลงไม่ว่าจะเป็นข่าวของประเทศจีนที่ออกมาระงับการขุดเหรียญระงับการทำธุรกรรมเกี่ยวกับ Bitcoin เพราะว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หรือการที่บอกว่าการขุด Bitcoin นั้นไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังมีการพูดถึงเงินดิจิตอลในแง่ลบอีกมากมายที่มาจากผู้เชี่ยววชาญทางด้านการเงิน ซึ่งทำให้ราคาของ Bitcoin ซบเซาเป็นระยะเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว

แต่ว่าในช่วงเดียวกันนั้นก็มีข่าวดีไม่แพ้กันประเทศอย่างเอลซัลวาดอร์ก็รับ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมาย และในหลาย ๆ ประเทศก็กำลังพิจารณาให้มีการใช้เงินดิจิตอลภายในประเทศได้ บริษัทหลาย ๆ บริษัทก็เริ่มที่จะใช้เงินดิจิตอลสกุลเหรียญต่าง ๆ ในการชำระสินค้าและบริการ และในช่วงที่ราคาลงนักลงทุนรายใหญ่ก็เริ่มที่จะซื้อเหรียญเก็บไว้ บวกกับหลาย ๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่กำลังพิจารณาจัดตั้งกองทุน ETF สำหรับ Bitcoin ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับตลาดเงินดิจิตอลมากเลยทีเดียว 

และเมื่อมีข่าวดีเข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาของ Bitcoin กลับมาใกล้จุดสูงสุดเดิมอีกครั้งโดยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเหรียญก็สามารถกลับมาที่ราคา 2 ล้านบาทได้และในช่วงเช้าของวันจันทร์ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคมราคาของเหรียญก็กำลังเข้าสู่จุดสูงสุดเดิมอีกครั้งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งการขึ้นครั้งนี้ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะทำจุดสูงสุดใหม่และจะทำให้ตลาดเงินคริปโตเคอเรนซี่หรือเงินดิจิตอลนั้นกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่คึกคักมาในช่วงต้นปีจนถึงกลางปี ซึ่งเหรียญอื่น ๆ ก็กำลังมีราคาพุ่งขึ้นตามราคาเหรียญของ Bitcoin ตามมาติด ๆ 

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

การขุด Bitcoin สร้างปริมาณขยะมหาศาล

Bitcoin

ข้อเสียของ Bitcoin ที่สุดก็คือผลกระทบต่อธรรมชาติ

เมื่อโลกของเราเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีก็ได้มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะในสายการลงทุนที่มีทรัพย์สินที่เรียกได้ว่าสร้างผลตอบแทนได้สูงมากกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่บนโลกในอดีตซึ่งนั่นก็คือเงินดิจิตอลนั่นเองในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีก็สามารถสร้างกำไรให้กับผู้ลงทุนได้เป็นกอบเป็นกำและที่สำคัญยังดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายเงินดิจิตอลหรือการขุดเหรียญก็ตามที

แต่ทุก ๆ สิ่งย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีของเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin ก็คือการที่ไม่มีตัวกลางมาควบคุม ความปลอดภัย ผลตอบแทนที่สูง และยังมีประโยชน์ในด้านการโอนเงินต่างประเทศ แต่ว่าข้อเสียของ Bitcoin ที่ดูจะร้ายแรงที่สุดก็คือผลกระทบต่อธรรมชาติ

การขุดเหรียญ Bitcoin เป็นการยืนยันการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนของ Bitcoin ซึ่งรางวัลจากการขุดเรื่องการยืนยันการทำธุรกรรมต่างๆ ก็คือเหรียญ Bitcoin ทำเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีเหมืองขุดกระจายกันอยู่ทั่วโลกเลยทีเดียว ซึ่งการที่จะทำให้คุ้มต่อการลงทุนจึงจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพและจำนวนมาก ซึ่งผลที่ตามมาก็คือการใช้พลังงานที่มากนั่นเอง แน่นอนว่าโลกของเรานั้นตั้งแต่ในยุคอุตสาหกรรมเป็นต้นมาก็เต็มไปด้วยมลพิษและกำลังเผชิญหน้ากับภาวะโลกร้อน การขุด Bitcoin ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นตัวเร่งให้ผลกระทบไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อนมลภาวะทางอากาศเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้น ที่สำคัญเลยก็คือการขุดเหรียญ Bitcoin นั้นทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน

ในปัจจุบันนี้อุปกรณ์ที่ใช้ในการขุดเหรียญ Bitcoin นั้นมีอายุการทำงานที่สั้นมากโดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 1.29 ปีเพียงเท่านั้นเองนั่นก็หมายความว่าเมื่อหมดเครื่องขุดหมดอายุก็ต้องทิ้งแล้วมันก็จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยการขุด Bitcoin ได้สร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ปีละ 30,700 ตัน โดยเฉลี่ยแล้วใน 1 การทำธุรกรรมจะก่อให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์ 272 กรัมนั่นเอง ซึ่งปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่การขุดได้สร้างขึ้นนั้นเทียบเท่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกทิ้งในประเทศเนเธอร์แลนด์เลยทีเดียวซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้ถูกเปิดเผยมาจากการวิจัยที่ได้ถูกเผยแพร่ใน the journal Resources, Conservation & Recycling

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจำนวนขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว ซึ่งวิธีแก้ไขก็คือการเปลี่ยนวิธีการยืนยันการทำธุรกรรมนั่นเอง โดยปัจจุบันนี้ Bitcoin นั้นมีการทำงานแบบ proof of work ซึ่งจะต้องใช้การขุดในการยืนยันการทำธุรกรรม แล้วผู้ที่ทำการขุดหรือถอดรหัสได้ก็จะได้รางวัลเป็น Bitcoin แต่ว่าในเหรียญอย่าง Ethereum ในปัจจุบันนี้มีการทำงานแบบ proof of stake ซึ่งจะไม่มีการขุด โดยรางวัลจากผู้ที่ทำ Pool of stake จะได้เป็นค่าธรรมเนียมแทน ซึ่งจะลดต้นทุนได้อย่างมหาศาลและมีแนวโน้มที่จะลดปัญหาทางด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ดีด้วย ต้องดูว่าในอนาคต Bitcoin จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องขยะอย่างไรและจะมีผู้ที่สนับสนุน Bitcoin ท่านใดออกมามีแนวคิดที่จะลดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก BBC , สยามบล็อกเชน

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ประเทศเอลซัลวาดอร์ซื้อ bitcoin

ประเทศเอลซัลวาดอร์

ประเทศเอลซัลวาดอร์ซื้อ bitcoin เป็นจำนวนเงิน 21 ล้านดอลลาร์

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนประเทศเอลซัลวาดอร์ได้มีการร่างกฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ซึ่งกฎหมายดังกล่าวก็ได้รับการเห็นชอบทำให้ประเทศเอลซัลวาดอร์จะเป็นประเทศแรกที่มีเงิน Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมาย ซึ่งการที่สามารถให้ Bitcoin เป็นสกุลหลักในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในประเทศเอลซัลวาดอร์ได้นั้นเป็นการช่วยแก้ปัญหาทางด้านการเงินที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารได้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยก็ตามทีและยังมีประชาชนภายในประเทศอีกมากมายที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเงินดิจิตอลนี้

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามประเทศเอลซัลวาดอร์ก็เป็นประเทศแรกที่สามารถทำให้ Bitcoin นั้นเป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมายได้ และล่าสุดประเทศเอลซัลวาดอร์นั้นก็ได้ซื้อ Bitcoin เป็นจำนวนเงิน 21 ล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นการยืนยันจากนายกรัฐมนตรีของประเทศเอลซัลวาดอร์อย่าง Nayib Bukele โดยเจ้าตัวได้มีการทวิตลงในทวิตเตอร์ส่วนตัว หลังจากนั้นราคาของ Bitcoin ก็คงสูงขึ้นยืนเหนือราคา 1.7 ล้านได้เลยทีเดียว

สำหรับประชาชนในประเทศเอลซัลวาดอร์นั้นสามารถใช้เข้าถึง Bitcoin ผ่าน Application ที่ทางประเทศเอลซัลวาดอร์ได้สร้างขึ้นมาที่มีชื่อว่า Chivo โดยสมัครเข้าใช้งานโดยใช้บัตรประชาชน ซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นของการใช้งานเพียงเท่านั้นแล้วประเทศเอลซัลวาดอร์ก็คงจะเริ่มให้ความรู้กับประชาชนเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วอย่างแน่นอน

นอกจากจะเป็นประเทศแรกที่ใช้ สามารถใช้ Bitcoin อย่างถูกกฎหมายแล้ว ในช่วงที่มีข่าวออกมาเดือนมิถุนายนประเทศเอลซัลวาดอร์ยังมีแผนที่จะเปิดโรงงานในการขุดเหรียญอีกด้วยซึ่งจะใช้พลังงานจากภูเขาไฟ เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่สนับสนุนเงินดิจิตอลอย่างจริงจังมากเลยทีเดียว

ต่อจากนี้ก็ต้องมาติดตามดูว่าประเทศเอลซัลวาดอร์นั้นจะสามารถเป็นแม่แบบให้กับประเทศอีกหลาย ๆ ประเทศในการใช้งานเงินดิจิตอลได้หรือไม่ และประเทศที่เป็นมหาอำนาจของโลกจะมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วจะปรับตัวกับการใช้งานและการอยู่ร่วมกันระหว่างเงินกระดาษและเงินดิจิตอลได้อย่างไร เพราะในตอนนี้ยังเป็นการใช้งานในภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับในการซื้อสินค้าและบริการต่างๆเพียงเท่านั้นยังไม่มีการปรับใช้ในระดับประเทศหรือภาครัฐ รวมไปถึงตอนนี้ประเทศส่วนใหญ่ได้ดำเนินการออก CBDC เพื่อใช้งานภายในประเทศตนเองแล้วด้วยตัวอย่างเช่นประเทศจีนที่มีการออกเงินดิจิตอลหยวนออกมาให้ประชาชนในประเทศใช้งานรวมถึงประเทศไทยที่มีกรรมการวางแผนว่าจะออกดิจิตอลบาทในปีหน้า 

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Litecoin ราคาเหวี่ยงหลังจากมีข่าวกับ Walmart

Walmart

Walmart ได้มีการประชาสัมพันธ์ออกมาว่าพวกเขานั้นจะรับชำระเงินด้วยเงินดิจิตอลโดยรับเป็น Litecoin

ถึงแม้ว่าเงินดิจิตอลจะเป็นสินทรัพย์รูปแบบใหม่แต่ราคาของเหรียญแต่ละเหรียญนั้นก็มีราคาที่สูงขึ้นและลงตามข่าวเศรษฐกิจและธุรกิจที่ออกมาให้เห็นด้วยเช่นเดียวกัน เหมือนกับหุ้นที่มีการขึ้นลงของราคาตามสภาพเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ เหตุการณ์ที่ทำให้เหรียญในตลาดเงินดิจิตอลนั้นพุ่งขึ้นและลดลงอย่างรุนแรงก็มีให้เห็นกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้งตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่อีลอนมัสก์ CEO ของ Tesla ออกมาทวิตเกี่ยวกับ Dogecoin หรือ Bitcoin ราคาของเหรียญก็มักจะขึ้นลงด้วยเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นให้ความสนใจกับเงินดิจิตอลมากเพียงไหนใน วันนั้นได้มีข่าวเกี่ยวกับ Walmart บริษัทที่ทำธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการประชาสัมพันธ์ออกมาว่าพวกเขานั้นจะรับชำระเงินด้วยเงินดิจิตอลโดยรับเป็น Litecoin ซึ่งจะมีการเริ่มต้นรับชำระเงินในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งข่าวคราวดังกล่าวนี้ได้มีการรายงานมาจากสำนักข่าวดังหลายสำนักเลยทีเดียว หลังจากที่มีข่าวถูกเปิดเผยออกมาราคาของ Litecoin ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลา 20:00 น ตามเวลาในประเทศไทยโดยราคาพุ่งจาก 5,800 กว่าบาทไปเป็น 7,600 กว่าบาท ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานช่วงเวลา 21:00 น ตามเวลาในประเทศไทยราคาของเหรียญ Litecoin ก็กลับมาที่ราคาประมาณ 5,800 อีกครั้ง เนื่องจากได้มีการประกาศออกมาจากฝ่ายโฆษกของ Walmart และผู้อำนวยการตลาดของ Litecoin Foundation ว่าข่าวทั้งหมดที่ได้ประกาศเมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนนั้นเป็นเพียงแค่ข่าวปลอม และทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่ได้มีการร่วมมือกัน

เรียกได้ว่าจากข่าวดังกล่าวนี้ทำให้หลาย ๆ คนนั้นอาจจะอยู่บนดอยได้เลยทีเดียวเนื่องจากราคาของเหรียญมีการขึ้นลงอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมากและการขึ้นและลงของเหรียญในตลาดที่บางครั้งราคานั้นมีการขึ้นและลงเกินกว่า 30% ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของตลาดเงินดิจิตอลเป็นอย่างมากซึ่งในคราวนี้เหรียญ Litecoin มีราคาพุ่งสูงขึ้นกว่า 31% และลง 31% เช่นเดียวกัน

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันหลายๆ บริษัทนั้นจะมีการยอมรับเงินดิจิตอลและมีการทดลองใช้ในเชิงพาณิชย์แล้วแต่ว่าบริษัทส่วนใหญ่จะรับเป็นเงินสกุล Bitcoin หรือ Ethereum เป็นหลัก ดังนั้นถ้าหากว่าต้องติดตามข่าวสารใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับการนำเงินดิจิตอลมาใช้เป็นสกุลเงินที่ชำระเงินในการซื้อสินค้าและบริการต้องติดตามให้แน่ใจก่อนว่าข่าวนั้นเป็นข่าวที่มีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด เพราะทั้งหมดนั้นจะมีผลกระทบต่อราคาของเหรียญในตลาดเป็นอย่างมากเลยทีเดียวและเคสนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่านักลงทุนสนใจที่จะลงทุนในตลาดเงินดิจิตอลต้องไม่เพียงแค่ศึกษาวิธีการลงทุนยังจำเป็นที่จะต้องติดตามข่าวต่างๆ ของเหรียญที่นักลงทุนสนใจอีกด้วย

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Bitcoinaddict

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Walmart ร่วมก๊วนคริปโตเคอเรนซี่

Walmart

Walmart กำลังเดินหน้าเข้าสู่วงการคริปโตเคอเรนซี่แล้ว

ในขณะที่คริปโตเคอเรนซี่เติบโตอย่างมากในปีนี้และเป็นที่รู้จักมากขึ้นบริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ บริษัททั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างเดินหน้าเข้าร่วมวงคริปโตเคอเรนซี่ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้า สร้างเหรียญแฟน รวมไปถึงใช้ในเป็นช่องการในการชำระบริการต่าง ๆ ในตอนนี้คริปโตเคอเรนซี่ก็ยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าจะมีกระแสต่อต้านให้เห็นอยู่ก็ตามที ล่าสุด Walmart ก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่วงการคริปโตเคอเรนซี่แล้ว

Walmart เปรียบเสมือนกับแม็คโครในประเทศไทย เป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วยังเปิดให้บริการในอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก และในปัจจุบันก็เป็นแหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้จากทั่วโลกบนโลกของอินเทอร์เน็ต

ตอนนี้บริษัท Walmart เองก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่วงการคริปโตเคอเรนซี่ โดยจะมีการจ้าง senior director ให้เข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์สกุลเงินดิจิตอล และอาจจะรวมไปถึงการชำระเงินโดยใช้คริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งเป็นการทำเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งทางการค้าอย่าง Amazon ที่ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวคราวว่าจะเข้ามาร่วมวงด้วยเช่นเดียวกันแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงแค่ข่าวลืออยู่ในตอนนี้

โดย senior director จะเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าทางด้านคริปโตเคอเรนซี่และผลิตภัณฑ์สกุลเงินดิจิตอลตามโรดแมปที่ได้วางไว้ โดยตำแหน่งหน้าที่ในอนาคตจากมีการทำหน้าที่เกี่ยวกับการลงทุนและการเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทอื่น ๆ ด้วย

การที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ บริษัทเริ่มจะเข้ามามีบทบาทในวงการคริปโตเคอเรนซี่ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเงินในอนาคต โดยการชำระเงินในการซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทต่างๆ ทั่วโลกอาจจะมีการชำระเงินได้หลากหลายวิธีมากขึ้นนอกจากจะเป็นเงินสดแล้วอาจจะสามารถชำระเงินเป็น Bitcoin หรือสกุลเงินอื่น ๆ ได้ด้วยซึ่งก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้บริการ

นอกจาก Walmart ก่อนหน้านี้ก็มีโรงหนัง AMC ที่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมีการรับชำระค่าบริการต่างๆ ด้วยสกุลเงิน Bitcoin

การที่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเรื่อย ๆ ทำให้เราสามารถตระหนักได้ถึงว่าอนาคตนั้นเราอาจจะได้เห็นการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปและก็อาจจะเป็นไปได้ที่ในช่วงนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การงานรูปแบบใหม่ทั้งเทคโนโลยีบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิตอลต่าง ๆ เพราะว่าในตอนนี้ตลาดกำลังบูมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น NFT, DeFi ก็เป็นเหมือนแหล่งรายได้ช่องทางใหม่ของคนหลายๆ คนเลยทีเดียว

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com

บริษัทยักษ์ใหญ่ Amazon กับเงินคริปโตเคอเรนซี่

Amazon

หลังจากที่ตลาดเงินดิจิตอลนั้นได้รับข่าวที่ไม่ค่อยดีมาอย่างต่อเนื่องซึ่งก็ส่งผลให้ราคาของเงินดิจิตอลสกุลต่าง ๆ ในตลาดนั้นลดลงอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนั้นราคาของเงินดิจิตอลนั้นก็ได้กลับขึ้นมาเขียวอีกครั้งหลังจากที่ผ่านการประชุม B World ซึ่งเป็นงานประชุมที่พูดถึงเงินดิจิตอลโดยเฉพาะ Bitcoin จาก 3 ผู้สนับสนุนเงินดิจิตอลได้แก่ Jack Dorsey, Elon Musk และ Cathy Woods และตลาดนั้นก็ยังเป็นสีเขียวต่อเนื่องและข่าวที่น่าสนใจอีกข่าวนึงที่ทำให้ตลาดเงินดิจิตอลขึ้นสีเขียวก็คือข่าวของ Amazon บริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกากับเงินดิจิตอลนั่นเอง

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 ได้มีข่าวคราวเกี่ยวกับบริษัท Amazon ในเรื่องการรับชำระเงินด้วย Bitcoin และจะมีการเริ่มหันมาสนใจในเงินดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทมีแผนการที่จะรับชำระเงินในช่วงปีหน้า ซึ่งก็ได้มีการเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ที่มีความรู้เกี่ยวกับทางด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อมาพัฒนา Digital and Emerging Payments ให้กับ Amazon ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว และก็ได้มีการรับสมัครงานในตำแหน่งหัวหน้าด้านสกุลเงินดิจิตอลและบล็อกเชนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หลังจากข่าวนี้ออกมาก็ทำให้ราคาของ Bitcoin นั้นพุ่งสูงขึ้นจน นั้นพุ่งสูงขึ้นจนแตะที่ราคาประมาณ 1.28 ล้านเลยทีเดียว

แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ทันผ่านพ้น 24 ชั่วโมงไปสำนักข่าวรอยเตอร์ได้ออกมาเปิดเผยว่าถ้อยคำแถลงการณ์ของโฆษกบริษัท Amazon เกี่ยวกับการรับชำระเงินด้วย Bitcoin ของบริษัท ซึ่งทางโฆษกก็ออกมาบอกว่าเรื่องนี้ยังไม่เป็นความจริงทางบริษัทนั้นยังไม่ได้มีการตัดสินใจในเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากการสยบข่าวลือเรื่องการชำระเงิน Bitcoin นั้น ก็ทำให้ราคาของเหรียญนั้นลดลงอย่างรวดเร็วจนในช่วงเช้าของวันที่ 27 กรกฎาคมราคาของเหรียญกลับมาอยู่ที่ 1.2 ล้านบาทเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตามก็คงต้องดูท่าทีต่อไปว่าทางบริษัท Amazon นั้นจะเข้าร่วมกับธุรกิจคริปโตเคอเรนซี่หรือไม่ และถ้าหากมีการเข้าร่วมจะเข้ามาในทิศทางไหน ในตอนนี้ทางบริษัทเองก็ได้เปรียบ CEO ของบริษัทจาก Jeff Bezos เป็น Andy Jassy ก็ต้องมาดูว่าภายใต้การนำทางของ CEO คนใหม่นั้นจะทำให้ธุรกิจของบริษัทน้ำเดินหน้าไปในทิศทางไหนด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Wall.alphacoders

ข้อมูลจาก The Standard, สยามบล็อกเชน

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com