คนไทยเราในปัจจุบันแทบจะทั้งประเทศล้วนแต่มีหนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหนี้นอกระบบหรือหนี้ในระบบก็ตามแต่ แต่ทว่าเมื่อเศรษฐกิจในขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องยอมรับเลยว่าถึงขั้นวิกฤตสุดแล้วซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเทศไทยเราประเทศเดียวแต่เศรษฐกิจแปรปรวนในครั้งนี้ได้แผ่กระจายไปทั่วประเทศ เมื่อปัญหาทางการเงินมีมากขึ้น รายได้นั้นไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ซึ่งต้องยอมรับว่าคนไทยเราส่วนใหญ่ไม่รู้จักการเรียนรู้ในเรื่องของการบริหารจัดการเงินในกระเป๋า แน่นอนว่าจะต้องเงินขาดมืออย่างแน่นอน และย่อมส่งผลกระทบในการจ่ายชำระหนี้ในแต่ละเดือนให้กับสถาบันทางการเงินที่แต่คนละเป็นหนี้อยู่ รัฐบาลก็ได้มีการลดดอกเบี้ยลงเพื่อให้คนที่เป็นหนี้ได้ผ่อนชำระหนี้ได้อย่างหายใจโล่งกันมากขึ้น

พ.ร.ก.คิดดอกเบี้ยผิดนัดใหม่ได้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่11เมษายน พ.ศ.2564 โดยรายละเอียดมีดังนี้ กรณีที่คู่สัญญาไม่ได้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่มีกฎหมายกำหนดที่ชัดเจน ก่อนหน้านี้มีการคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่7.5ต่อปี ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ได้มีมาตั้งแต่สมัยพ.ศ. 2468 แต่ในขณะนี้ได้มีการปรับดอกเบี้ยให้ลดลงอีกเหลือเพียงร้อยละ3และปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจากร้อยละ7.5ต่อปีเหลือร้อยละ5ต่อปี โดยเป้าหมายทั้งหมดที่ทำนั้นก็เพื่อให้เป็นการช่วยลดภาระให้กับลูกหนี้ทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นการช่วยธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในช่วงที่อยู่ในภาวะพิษเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากโรคระบาดอย่างเชื้อไวรัสโควิค-19 แต่ในการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวนี้ไม่ได้รวมอยู่ใน ดอกเบี้ยบ้าน บัตรเครดิต ไฟแนนซ์รถหรือเงินกู้ที่มีการทำสัญญาอย่างชัดเจน ซึ่งราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลงกว่าเดิมนั้นมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่11เมษายนพ.ศ. 2564ที่ผ่านมาโดยมีคำชี้แจงว่า”อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้มีการกำหนดอยู่ในสัญญาหรือไม่มีกฎหมายกำหนดที่ชัดเจน ซึ่งได้มีการกำหนดฐานในการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ใหม่ เมื่อลูกหนี้มีการผิดนัดไม่ชำระตรงตามเวลาที่กำหนด เจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้เพียงแค่เท่ากับเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้มีการผิดนัดชำระเท่านั้น” อีกทั้งพ.ร.ก.ใหม่นี้ยังมีการกำหนดเพิ่มเติมอีกว่า “สัญญาใดที่มีข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยทั้งหมดในข้อตกลงส่วนนั้นถือว่าเป็นโมฆะทันที”

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการกำหนดวิธีการคิดดอกเบี้ยแบบใหม่ตั้งแต่วันที่1เมษายนที่ผ่านมานี้ ซึ่งในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่1เมษายนพ.ศ. 2564เป็นต้นไป ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยลดความตึงเครียดให้กับประชาชนชาวไทยที่เป็นหนี้ให้ได้หายใจหายคอกันบ้าง เนื่องมาจากการที่จะได้มีการผ่อนชำระหนี้ในอัตราดอกเบี้ยที่ลดน้อยลงถึงครึ่งหนึ่งจากแต่เดิมที่เคยเป็นอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากคนไทยเรายังมีวิถีชีวิตในการใช้จ่ายในรูปแบบเดิมๆ ไม่รู้จักฝึกฝนหรือมีวิธีการในการดูแลการใช้จ่ายเงินในกระเป๋า การบริหารเงินในบัญชีอย่างถูกต้องก็จะทำให้บุคคลเหล่านั้นจะต้องมีการเพิ่มหนี้ให้แก่ตัวเองมากขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงอยากให้คนไทยเรารู้จักวิธีการบริหารจัดการเงินในกระเป๋าให้ได้อย่างถูกต้องและรู้จักคำว่าพอดีเพื่อที่จะได้เป็นหนี้กันน้อยลง จนถึงขั้นที่ชีวิตนั้นโชคดีไม่มีหนี้แล้วก็เป็นได้
ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน
เวปไซด์ mee-money.com