บริษัท Tesla มีมูลค่าตลาดทะลุ 1 พันล้านเหรียญ

Tesla

บริษัท Tesla ได้มีมูลค่าของตลาดทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นที่เรียบร้อย

แม้โลกของเรามีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายที่สามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมากต่อปีโดยบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นก็มักจะมีมูลค่าของตลาดอยู่ในหลักล้านและก็มีบางบริษัทที่สามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่านั้นคือสามารถมีมูลค่าตลาดเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Amazon และ Microsoft ซึ่งล่าสุดบริษัท Tesla ก็ได้เข้าไปอยู่ร่วมกับกลุ่มดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บริษัท Tesla ได้มีมูลค่าของตลาดทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม หลังจากที่ได้มีการรับข้อเสนอของบริษัท Hertz บริษัทรถเช่าของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท Hertz ได้มีการขอซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากน่าบริษัท Teslaจำนวน 100,000 คันให้ภายในปี 2022 ซึ่งหลังจากรับข้อเสนอนั้นก็ทำให้หุ้นของบริษัท Tesla มีราคาพุ่งขึ้นจากราคา 900 ดอลลาร์เป็นราคา 1045 ดอลลาร์ 

ซึ่งหลังจากที่บริษัท Tesla สามารถมีมูลค่าของตลาดทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ทาง CEO ของบริษัทอย่างอีลอนมัสก์ก็ออกมาทวิตแสดงความยินดีบน Twitter ส่วนตัวของเขาด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการรับข้อเสนอในครั้งนี้จะทำให้บริษัท Tesla ได้รับเงินเป็นจำนวน 4.2 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยข้อเสนอดังกล่าวได้มีมานานเกือบ 1 ปีแล้วหลังจากที่บริษัท Hertz กำลังหาทางป้องกันการล้มละลายหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด ที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวซบเซาแล้วส่งผลกระทบต่อธุรกิจรถเช่า โดยรถยนต์ที่บริษัท Hertz จากบริษัท Tesla จะเริ่มขนส่งในอีก 14 เดือนข้างหน้าแล้วจะมีให้บริการในประเทศสหรัฐอเมริกาและบางส่วนในทวีปยุโรปในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2022

การที่บริษัท Tesla สามารถขายรถยนต์ได้เป็นจำนวนมากและมีผู้สั่งซื้อเป็นจำนวนมากเช่นนี้คงทำให้บริษัทเติบโตมากขึ้นซึ่งดูจากมูลค่าตลาดณปัจจุบันก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่าบริษัทนั้นเติบโตขึ้นไม่ได้มากแค่ไหนและในอนาคตถ้ามีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ออกมาและได้รับผลตอบรับที่ดีก็จะทำให้บริษัทเติบโตมากขึ้นไปอีกและการที่บริษัทสามารถมีมูลค่ามากได้ถึงขนาดนี้ก็ส่งผลให้บริษัท Tesla สามารถมีอำนาจในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้นอย่างแน่นอนเลยทีเดียว และจะได้เปรียบในเรื่องของการแข่งขันทางด้านการตลาดอย่างแน่นอนแม้ว่าในตอนนี้บริษัทของจีนก็กำลังขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับบริษัท Tesla แล้วก็ตาม

และในอนาคตบริษัทผลิตรถยนต์อีกหลาย ๆ บริษัทก็คงจะเริ่มหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่มีมากขึ้นในปัจจุบันนี้และจะเพิ่มความหลากหลายให้กับตลาดอีกแน่นอนเพราะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าบางยี่ห้อก็อาจจะมีราคาสูงไปจนผู้บริโภคไม่สามารถเอื้อมถึงการมีบริษัทและบริษัทออกมาผลิตก็จะช่วยเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้น

ภาพจาก Pexels

ข้อมูลจาก CNBC

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

หุ้นพลังงานราคาขึ้นจุดสนใจทางด้านการลงทุน

หุ้น

ในเรื่องของการลงทุนแล้วหุ้นคงเป็นประเภทการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนมากที่สุดเช่นเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่ลงทุนแล้วมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียหรือขาดทุนมากที่สุดเหมือนกัน ถึงแม้จะมีความเสี่ยงมากแต่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนมาดีแล้วหุ้นนั้นถือเป็นทางเลือกที่ดีจะทำกำไรและสร้างรายได้ให้กับตัวของตัวเอง โดยยิ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยก็ถือว่าเป็นข่าวยอดฮิตเลยทีเดียว

ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาหุ้น OR เป็นหุ้นที่ร้อนแรงที่สุดตัวหนึ่งของประเทศไทยเลยทีเดียวทำให้มีนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าคนหลายคนได้กำไรจากการจองหุ้นตัวนี้และในวันเปิดตัวก็ได้ทำการขายหุ้น และในปัจจุบัน OR ก็ได้ไปลงทุนในธุรกิจโอกะจู๋ซึ่งเป็นร้านอาหารออแกนิคชื่อดัง ทำให้หุ้น OR นั้นก็ยังอยู่ในช่วงร้อนแรงอยู่เช่นเคย แต่ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคมนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานกลายเป็นหุ้นที่เปิดตัวออกมาได้อย่างโดดเด่นมากหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นโดยมีราคา 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสูงสุดในรอบ 13 เดือนเลยทีเดียวทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานของประเทศไทยมีตัวเลขบวกขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะหุ้นในส่วนของปตท. นับว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มลงทุนในหุ้นในกลุ่มไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร รวมไปถึงระยะยาวเพื่อหาเงินปันผล ซึ่งในประเทศไทยก็มีจำนวนหุ้นเป็นจำนวนมากให้เราได้เลือกลงทุนกัน ดังนั้นเราก็ควรเลือกกระจายความเสี่ยงด้วยเช่นเดียวกัน 

หุ้นนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ลงทุนแล้วได้กำไรมากที่สุดแต่ก็ต้องแลกมาด้วยกับการศึกษาที่มากด้วยเช่นเดียวกันดังนั้นก่อนที่จะลงทุนต้องเช็คตัวเองเสียก่อนว่ารับความเสี่ยงได้หรือไม่หรือมีความรู้ในการลงทุนมากพอที่จะเริ่มลงทุนได้หรือยัง โดยเราสามารถศึกษาได้จากช่องทางทาง YouTube รวมไปถึงหนังสือและเพจ Facebookต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Social Media เพราะมันสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนของเราได้และสามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าผลขาดทุนด้วยเช่นเดียวกัน

#หุ้น , #ราคาหุ้น , #GUรู็ การเงิน , #mee-money.com

Cr.Pixabay

ข้อมูลจาก The Standard