7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าการที่เรามีรายรับในหลายๆทางย่อมดีกว่าการที่มีรายรับทางเดียวกันใช่ไหมล่ะ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ในวันนี้เราจึงมี 7 วิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income เก๋ๆมาแชร์เป็นแนวทาง ซึ่งบางเทคนิคก็ถือว่าเป็นทางที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงเยอะเลยแต่ก็สามารถสร้างรายรับให้กับคุณได้ ที่สำคัญใครจะรู้ว่าอนาคตคุณอาจหารายได้หลักมาจากทางเหล่านี้ก็ได้

1.Cryptocurrency

เรียกได้ว่าชั่วโมงนี้ไม่มีเหรียญไหนที่มาแรงเท่ากับ “Solona” อีกแล้ว จากข้อมูลต้นปีเหรียญนี้มีมูลค่า 1.4 ดอลล่าร์ และล่าสุดต้นเดือนกันยายนนี้พุ่งสูงถึง 140 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว เรียกว่าฉุดไม่อยู่จริงๆ ลองคิดดูว่าถ้าคุณซื้อ SOL เดือนสิงหาคมที่แล้วในราคา 30 กว่าดอลลาร์แล้วคุณขายไปในวันนี้ คุณจะได้กำไร 110 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว OMG! ไม่มีอะไรคุ้มกว่านี้แล้ว และอีกหนึ่งเหรียญที่น่าสนใจคือ “Bitcoin” ยิ่งอีลอน มัสก์เข้าวงการนี้มาราคาก็ถีบตัวขึ้นมาก ราคาขึ้น-ลงเร็วไม่ใช่แค่ 5 % หรือ 7 %แต่ขึ้นลงหลักสิบ 10% 20% 30 %ต่อวันและเราก็บอกไม่ได้ว่าคุณจะมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่  ถ้าใครยังไม่เคยลองแล้วสนใจสำหรับมือใหม่ต้องค่อยๆเรียนรู้เทคนิค ดูแนวโน้มให้ดี  เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง!

2.TikTok

ถือว่าสนอง Need คนรุ่นใหม่ได้ดี เพราะไม่ต้องใช้เวลาสร้าง Contents  นานก็มีจำนวนคนรับชมเยอะ ขอแค่คุณมีไอเดียเจ๋งๆก็ทำรายได้มหาศาล  อย่างช่อง @meturr (ยอดฟอล 1.6 ล้าน) ที่ทำ Contents คู่พ่อลูกออกมาแล้วเกิดกระแสโด่งดังทำให้รายการทีวีเชิญไปออกและมีสินค้าเข้ามาให้รีวิวมากมาย  จากคนธรรมดาก็กลายเป็นคนดังเพียงข้ามคืนได้ รายได้มาจากการรับรายการ รับรีวิวสินค้า ไลฟ์สตรีม สปอนเซอร์โฆษณา ส่วนเรทรายได้ของแต่ละช่องก็จะไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับยอดฟอลและกระแส สำหรับใครที่อยากลองเล่นสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น TikTok จาก Apple Store หรือ Play Store ได้เลย

3.ขายภาพถ่ายออนไลน์

สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ คุณรู้หรือเปล่าว่านอกจากคุณจะได้ทำในสิ่งที่เป็นความสุขแล้วยังสามารถทำรายได้ให้กับตัวเองได้ด้วย เพราะสมัยนี้มีเว็บต่างๆที่เปิดให้คุณนำภาพผลงานไปฝากขายได้เช่น

-Shutterstock ( https://www.shutterstock.com )

iStockphoto ( https://www.istockphoto.com/th )

Dreamstime ( https://www.dreamstime.com )

มีผู้ใช้งาน Shutterstock คนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ที่เขาขายภาพได้ 45.75 US (1,372.5 บาท) โอ้พระเจ้า! และภาพนั้นคือภาพผนังสเเตนเลสในลิฟท์ ที่เขาบังเอิญถ่ายจากการขึ้นลิฟท์ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรืออย่างภาพกระจกห้องน้ำที่มีไอน้ำเกาะอยู่ซึ่งเขาก็ใช้มือถือถ่ายได้โดยบังเอิญเช่นกันแต่นำส่งขายได้ถึง 60 US (1,800 บาท) เลยทีเดียวทำให้เราเห็นว่าความบังเอิญก็ทำรายได้มหาศาลให้เราได้!

4.เขียนบทความ

สำหรับใครที่เลิฟการเขียน คุณสามารถทำให้สิ่งที่คุณรักกลายเป็นตัวเงินได้ เพราะสมัยนี้มีเว็บไซต์ต่างๆที่มารองรับมากมาย เช่น

-TrueID In-trend (https://home.trueid.net/)

-Blockdit (https://www.blockdit.com/)

-ThaiSEOBoard (http://www.thaiseoboard.com/)

-Fastwork (https://fastwork.co/)

– Readme.me (https://th.readme.me/)

                อย่างใครที่เป็นมือใหม่หัดเขียนเราขอแนะนำ TrueID เลย ค่าตอบแทน 100 บาทต่อบทความ และเราจะได้รับเงินก็ต่อเมื่อบทความมียอดวิว 500 วิวขึ้นไป เรียกได้ว่าใครมีไอเดียเก๋ๆหรือประสบการณ์อะไรก็มาแชร์กันได้ ขยันมากก็ได้มาก!

5.YouTube Channel

                ใครที่มีทักษะการสื่อสารที่ดี มีเอกลักษณ์ มาลองทำ youtube กัน รายได้นั้นมาจากการขายโฆษณา ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ทำได้ อย่างเด็กเล็กๆก็ยังมาสอนแต่งหน้า รีวิวของเล่น สร้างรายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งถ้าช่องคุณมีไอเดียที่แตกต่าง แปลกใหม่อาจได้งานต่อยอดไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือจ้างไปทำรายการทีวีเลยก็ได้ อย่างช่องยูทูป pangpon js ที่เป็นคนธรรมดามาเริ่มต้นทำยูทูป Contents เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย เริ่มทำประมาณ 6 เดือนได้เงินก้อนแรก 130 กว่าดอล ตีเป็นเงินไทยประมาณ 4,000 บาทเลย คนธรรมดาอย่างเราก็ทำได้!

6.หนังสือเสียง Audiobook

                การสร้างรายได้ช่องทางนี้เรียกได้ว่าลงทุนแค่เสียง  เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาหรือผู้บกพร่องทางการอ่านได้รับรู้เนื้อหาจากหนังสือ คุณสามารถเสนอเสียงของตัวเองให้แก่สำนักพิมพ์ทำเป็นหนังสือเสียงเพื่อวางจำหน่ายได้ โดยผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ookbee , beeber , meb เป็นต้น และรายได้ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างตามการประกาศรับคนอ่านหนังสือเสียงตามเว็บไซต์ต่างๆส่วนใหญ่จะได้เงินต่อการอ่าน 1 เล่มประมาณ 1,500-2,000 บาท ว้าวเลยใช่ไหมล่ะ!

 7.ขายคอร์สเรียนออนไลน์

                ไม่ต้องจบครุศาสตร์ก็เป็นครูได้! ขอแค่คุณมีความถนัดไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส คณิตศาสตร์ หรือนอกเหนือจากนี้เช่น การแต่งหน้า การตัดผม การจัดดอกไม้ การทำขนมต่างๆ ลงทุนลงแรงเพียงครั้งเดียวแต่ได้ Passive income แบบระยะยาว เรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก ! อย่างกัปตันไอซ์ Admission Reality 5 by dek-d สมัยแอดมิดชั่นเรียกได้ว่าดังมาก! ตอนนี้เธอเปิดโรงเรียนสอนภาษาออนไลน์ อย่างคอร์สปู grammar ราคา 1000 บาทเท่านั้น! รายได้จากการขายคอร์ส ออนไลน์ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปแต่รับรองว่าได้เงินดีและยังแชร์ความรู้อีกด้วย

                ใครที่สนใจหรือมีความถนัดทางด้านไหนก็สามารถไปศึกษาเป็นแนวทางเพื่ออนาคตข้างหน้า หรือไปสร้างรายได้กันได้เลย และไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น อายุไม่ใช่ปัญหาเลย รับรองว่าการมีรายรับสองทางอย่างไรแล้วก็ดีกว่าทางเดียวเสมอ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

การซื้อบ้านกับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในช่วงปลายปี

การซื้อบ้านกับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในช่วงปลายปี

ธนาคารเตรียมปรับสินเชื่อบ้านยกเลิกแคมเปญ “ดอกเบี้ยคงที่” ทำให้ลูกค้าที่ซื้อบ้านในช่วงปลายปีนี้ ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้สูงขึ้น ธนาคารต่างๆเตรียมปล่อยดอกเบี้ย “ลอยตัว” ชี้กรณีขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ลูกค้ามีภาระผ่อนต่อเดือนสูงขึ้น 4-5% แต่ ธอส.-ออมสิน ยังคงตรึงดอกเบี้ยนานที่สุดเพื่อช่วยประชาชนให้นานที่สุด

Cr.pic:https://www.dailynews.co.th/

สำหรับลูกค้าเดิมที่ทำการผ่อนกับธนาคารอยู่จะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทันที แต่จะไม่ได้รับผลกระทบในการผ่อนต่องวดแต่ว่าลูกหนี้ต้องผ่อนนานขึ้น โดยน่าจะมีการปรับหลังธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาชี้แจงการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกมา ประชาชนที่กำลังตัดสินใจซื้อบ้านจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และภาระค่างวดจะสูงขึ้น เนื่องจากการปรับขึ้นของค่าครองชีพ และค่าเงินเฟ้อ ขณะที่สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงกัน ดอกเบี้ยมีอัตราที่สูงขึ้น จะปรับดอกเบี้ยมาเป็นแบบลอยตัวมากขึ้น

Cr.pic: https://www.tisco.co.th/th/

ถ้าดอกเบี้ยขึ้นสูงเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ จะส่งกระทบกำลังซื้อบ้าน ส่วนนโยบายการปล่อยสินเชื่อยังคงยึดเกณฑ์ความสามารถการชำระหนี้และรายได้

1. อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว

 หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่กำหนด ณ ปัจจุบันตามประกาศของสถาบันการเงิน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นหรือลงได้ตามสถานการณ์ในปัจจุบัน หรือต้นทุนทางการเงินของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ซึ่งในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยขึ้น-ลงแต่ละครั้ง จะส่งผลกระทบต่อเงินงวดที่ชำระในแต่ละเดือนของผู้กู้ โดยเฉพาะหากอัตราดอกเบี้ยบ้านปรับตัวสูงขึ้นในภายหลัง เงินงวดที่ชำระรายเดือนเดิมอาจต้องมีการปรับสูงขึ้นได้

Cr.pic:https://decor.mthai.com/

2. อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่

-อัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดระยะเวลากู้ หมายถึง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ หรือตายตัวตามประกาศของสถาบันการเงินที่กู้ซื้อบ้าน โดยไม่มีการปรับขึ้นเลยไม่ว่าสถานการณ์เป็นยังไง  ผู้กู้ก็ยังจ่ายเท่าเดิมที่ธนาคารกำหนด

-อัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นในช่วงแรกหลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว หมายถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยบ้านแบบคงที่ระยะสั้นภายในหนึ่งถึงสองปีและจะปรับเปลี่ยนเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว

Cr.pic:https://decor.mthai.com/

2.3 อัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นแบบขั้นบันไดในช่วงแรกหลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว หมายถึง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยบ้านแบบคงที่ระยะสั้น 1-5 ปี แต่ในระหว่างนี้อาจกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดของธนาคารที่คุณไปกู้

การพิจารณาในการเลือกใช้อัตราดอกเบี้ย

1.อัตราดอกเบี้ยในแต่ละสถาบันการเงินซึ่งจะมีความแตกต่างกัน

2.การพิจารณาถึงความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยย้อนหลัง โดยควรเลือกประเภทที่มีความผันผวนน้อย เนื่องจากผู้กู้จะสามารถบริหารจัดการหนี้ได้ง่ายกว่า และทางธนาคารจะทำการคำนวณที่ต้องจ่ายต่อเดือนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นเอง

3.ให้พิจารณาเรื่องความมั่นคงของสถาบันการเงินนั้นๆ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

วิธีลงทุนอย่างไรให้สร้างpassive income เดือนละ 5000 บาท

วิธีลงทุนอย่างไรให้สร้างpassive income เดือนละ 5000 บาท

        ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่ารูปแบบรายได้นั้นมี 2 แบบ แบ่งได้เป็น Active income คือ งานที่ต้องใช้ความสามารถ เป็นงานที่เพิ่มมูลค่าให้ตนเอง ต้องลงแรงและใช้เวลาในการแลกเงินมาเข้ากระเป๋าเรานั่นเอง เช่น รายได้จากงานประจำ ฟรีแลนซ์ ค้าขาย Passive income คือ รายได้จากทรัพย์สิน โดยที่เราไม่ต้องลงทุน ลงแรงตลอด เช่น อสังหาริมทรัพย์ ลิขสิทธิ์ ยูทูปเบอร์ หรือ การที่เรานำเงินจากActive incomeมาต่อยอด นำเงินต่อเงินนั่นเอง มาลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น หุ้น กองทุนรวม

1.อสังหาริมทรัพย์ เป็นการลงทุนให้ผลตอบแทนเป็นรูปแบบเงินสด เช่น คอนโดให้เช่า ที่จอดรถให้เช่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีหลายแบบ ทั้งลงทุนแบบเกร็งกำไรระยะสั้น และลงทุนแบบระยะยาว เป็นการลงทุนที่น่าสนใจมาก เพราะสามารถกู้เงินจากธนาคารมาซื้ออสังหาเพื่อปล่อยเช่าได้ แต่คุณต้องเตรียมพร้อมเรื่องstatementให้สวย เครดิตดี จะได้กู้ง่าย และรู้วิธีรีไฟแนนซ์

Cr.pic www.ddproperty

2. ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน สินทรัพย์ทางเลือกที่มีให้เลือกมากมาย มีระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน ยิ่งความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็สูงตาม แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วหล่ะว่ายอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน และมีความรู้มากพอที่จะได้กำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์นั้นไหม ถ้าเราอยากPassive incomeเท่าไหร่ เราต้องมีเงินต้นที่เราใช้ลงทุนด้วย สูตรก็คือ เงินลงทุนที่ต้องมี เท่ากับ Passive incomeที่อยากได้ต่อปี หารด้วยผลตอบแทนการลงทุนที่ทำได้ต่อปี ถ้าผลตอบแทนเยอะ เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินต้นเยอะ เช่น Passive income ที่เราต้องการต่อปี คือ 60000 บาท หารด้วย 3 เปอร์เซ็นต์ เพราะเลือกลงทุนในตราสารหนี้ เท่ากับว่าเราต้องใช้เงินต้น 2 ล้านบาท เพื่อให้ได้เงินปันผลปีละ 60000 บาท หรือเดือนละ 5000 บาทนั่นเอง

Cr.pic www.setinvestnow.com

3. ธุรกิจ ได้รับเงินปันผลจากการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ การที่เราเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เราต้องแสดงความคิดเห็นหลังเข้าประชุมด้วย เราจะได้เงินปันผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงินที่เราลงทุนไป และกำไรที่ทางบริษัททำได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะลงทุนระยะยาวกับบริษัทใด ต้องมองการณ์ไกล คาดการณ์ว่าบริษัทนั้นจะประสบความสำเร็จในอนาคต

Cr.pic www.sentangsedtee.com

4. ลิขสิทธิ์ เราสามารถใช้ความสามารถของเราในการหารายได้จากลิขสิทธิ์  เช่น คนที่มีความสามารถด้านการถ่ายภาพ อาจจะนำภาพวิวไปลงขายในเว็บไซต์ให้เราได้รายได้จากภาพนั้นซ้ำๆ การสร้างภาพเวกเตอร์ การเขียนหนังสือขายลงแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือขายตามร้านหนังสือ การโปรดิวซ์เพลง

    การลงทุนที่ดีที่สุด คือ การลงทุนในความรู้ ลงทุนเพิ่มมูลค่าให้ตนเอง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน ส่วนใหญ่เป็นคนที่บริหารจัดการเงินดี การลงทุน มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นด้วย เพราะฉะนั้นหากเรามีความรู้น้อย เราอาจตกเป็นเหยื่อของคนที่ฉลาดเกมส์โกงได้ แนะนำว่าให้ลงทุนตามความรู้ที่มี

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

The Merge สำเร็จ! การเริ่มต้นของ Ethereum 2.0

The Merge สำเร็จ! การเริ่มต้นของ Ethereum 2.0

เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ 2565 ที่ผ่านมาช่วงเวลา 13:44 น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ที่มีชื่อว่า “Ether” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “Ethereum” โดยในวันดังกล่าวระบบจะถูกอัปเกรดเป็น Ethereum 2.0 โดยเป็นการรวมตัวของ Proof of Stake และ Proof of Work โดยใช้ชื่อการเปลี่ยนแปลงระบบนี้ว่า “The Merge”

The Merge การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Ethereum

ภาพ Pixabay

Ethereum เป็นเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ที่ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2558 โดยใช้หลักการ Proof of Work เช่นเดียวกับ Bitcoin สกุลเงินดิจิตอลอันดับ 1 ของโลก สำหรับเหรียญ Ethereum ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เดียวกับ Bitcoin แต่มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นอินเทอร์เน็ตของโลก โดยระบบของมันนั้นมี Smart contract ที่เปิดให้ผู้พัฒนาสามารถมาพัฒนาแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยใช้ระบบดังกล่าวได้ โดยในปัจจุบัน Ethereum ได้ถูกแบ่งเป็น 2 เครือข่ายได้แก่ Ethereum Mainnet ซึ่งมีการทำงานแบบ Proof of Work และ Beacon Chain ที่มีการทำงานแบบ Proof of Stake ด้วยการอัพเกรดของ The Merge ที่ประสบความสำเร็จทำให้ Ether กำลังเดินหน้าเข้าสู่ Ethereum 2.0 ถึงแม้ระบบจะเปลี่ยนแปลงเป็น Proof of Stake แต่ระบบการทำงานแบบ Proof of Work ก็ยังคงอยู่แต่เป็นการแยกเครือข่ายออกมาอีกเครือข่ายหนึ่งและใช้ชื่อว่า ETHW

ภาพ Pixabay

ในส่วนของราคาเหรียญ Ethereum ก็ไม่ได้สูงขึ้นแต่อย่างใดหลังจากการเปลี่ยนแปลงของระบบโดยมีปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 54,000 บาทโดยประมาณ (ราคาวันที่ 16 กันยายน)

The Merge ช่วยประหยัดพลังงาน

ภาพ Pixabay

อย่างที่เรารู้กันว่าระบบการทำงานแบบ Proof of Work ที่มีอยู่ใน Bitcoin ใช้พลังงานมหาศาลเป็นอย่างมากซึ่งก็เช่นเดียวกับเหรียญ Ether แต่หลังจาก The Merge จะทำให้การใช้พลังงานของ Ethereum ลดลงถึง 99.98% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการคำนวณจากสถาบัน Crypto Carbon Ratings (CCRI) โดยในเครือข่ายก่อนหน้านี้ใช้พลังงานมากถึง 23 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี โดยทางสถาบันดังกล่าวได้คาดการณ์ไว้ว่าหลังจากนี้จะใช้พลังงานเพียงแค่ 2,600 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนนั้นเป็นก้าวสำคัญอย่างมากของอนาคตของโลกคริปโตเคอเรนซี่ เนื่องจากตลอดปีที่ผ่านมาเงินดิจิตอลได้มีการถูกพูดถึงว่าใช้พลังงานจำนวนมาก และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากนี้ก็คงต้องมาคอยติดตามว่า Ethereum 2.0 จะเดินหน้าไปในทิศทางใดและอนาคตของเหรียญคริปโตจะเป็นเช่นไร

ข้อมูลจาก BangkokbizNews , The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

การทำตลาดแบบญี่ปุ่น 4s

การทำตลาดแบบญี่ปุ่น 4s

1. Simple ความเรียบง่ายและคลาสสิก

ความ Simple หรือความเรียบง่าย มักเป็นเอกลักษณ์แรกๆ ที่สามารถสัมผัสได้จากสินค้าญี่ปุ่น 

แต่ทั้งหมดล้วนให้ความเรียบง่าย อาจไม่ได้รู้สึกสะดุดตา หรือโดดเด่นมากนัก แต่มีความเรียบง่าย คือ ความที่ไม่ยุ่งยากหรือไม่ซับซ้อน แต่แฝงด้วยความสะดวกสบาย และเราต้องพอใจหรือสิ่งที่เราสามารถเลือกได้ ด้วยน่ะ ถึงจะเป็นสินค้าที่มีคุณค่า

Cr.pic:

2. Small Details ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ

การทำให้เกิดความเอาใจใส่สินค้า คนซื้อสินค้าเกิดความรูสึกดีที่ได้รับสินค้าหรือบริการไป โดยเฉพาะในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะมองข้ามไป แต่ก็สามารถสัมผัสได้ เช่น การรับประทานอาหารผลิตออกมาเพื่อมนุษย์เงินเดือนที่เร่งรีบ ได้รับประทานอาหารอย่างสะดวก เช่น มีขนาดใหญ่ขึ้น เปิด-ปิดง่าย จึงตอบโจทย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องเดินทางไปทำงานตลอด เป็นต้น

Cr.pic:

3. Story เรื่องราวคือคุณค่า

การใช้เรื่องราวเพื่อทำการตลาดเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งในตลาดไทย มักจะเปรียบเทียบของสรรพคุณหรือข้อดีของสินค้า แต่ในญี่ปุ่นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณค่าภายนอก สิ่งที่ทุกคนสามารถรับรู้ได้เห็นได้ผ่านเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาให้เข้าถึงอารมณ์ของผู้บริโภคได้ดี สร้างความประทับใจ และการจดจำให้กับลูกค้าได้ง่ายกว่า เป็นคุณค่าที่ทำให้สินค้าแตกต่างจากคู่แข่งขันรายอื่น และสร้างการจดจำให้กับลูกค้า ทั้งนี้ ยังรวมถึงประสบการณ์ที่ได้จากการใช้สินค้านั้นๆ ด้วย ไม่ว่าการออกแบบสินค้าและอื่นๆ

Cr.pic:

4. Selfless คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง

จะเห็นได้ตามร้านขายของของฝาก หรือตามห้างสรรพสินค้า  นิสัยและพฤติกรรมคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะอ่อนโยน  เป็นระเบียบ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ รู้สึกประทับใจ ข้ามซึ่งสะท้อนออกมาในสินค้าได้เป็นอย่างดี ในด้านการบริการ ธุรกิจญี่ปุ่นนั้นจะทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจที่อยู่ใต้การดูแลของเขามีความพึงพอใจต่อสินค้าและบริการมากขึ้น

สรุปง่ายๆ ก็คือจุดเริ่มต้นของธุรกิจ คือ ต้องเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงแล้ว การทำการตลาดที่มาจากใจ และใส่ใจ ที่เกิดจากความพยายามอยากทำสินค้าที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ แต่ครองใจลูกค้าได้ ที่สำคัญต้องใส่รายละเอียดเล็กๆ ทำสินค้านี้ไปเพื่ออะไร สิ่งนี้จะทำให้เราพบกับคิดถึงคนอื่นที่เจอเหตุการณ์เหมือนกันหรือแตกต่างจะรู้สึกอย่างไร

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

กลยุทธ์การตลาดที่นิยมใช้กันเพื่อสร้างยอดขาย

กลยุทธ์การตลาดที่นิยมใช้กันเพื่อสร้างยอดขาย

1กลยุทธ์การตลาดความน่ารัก

Cute Marketing

กลยุทธ์การตลาดที่ใช้อานุภาพความน่ารัก สีหวานๆ สีพาสเทล  มีขนาดเล็ก ทำให้ลูกค้าอยากซื้อ เกิดความสนใจมากขึ้นทำให้ลูกค้าในกลุ่มสาวๆ อยากครอบครองสิ้นค้ามากขึ้น  ยิ่งถ้าเป็น ‘ตัวละครการตูน  ที่มีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างและต่อยอดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้หญิงเป็นเพศที่แพ้ความน่ารัก กลุ่มธรกิจเครื่องสำอางโดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ๆ มักจะใช้กลยุทธ์นี้ตีตลาด ดึงดูดลูกค้ามาซื้อสินค้ากลุ่มเป้าหมายมาซื้อสินค้าจากการศึกษาพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคจำนวนมากพบว่าแบรนค์เกาหลี โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอางมีการออกPackaging ที่เน้นความน่ารักออกมาจำนวนมาก

Cr.pic: https://www.marketingoops.com/

2.กลยุทธ์การตลาด ‘เรื่องราว’

Storytelling Marketing

กลยุทธ์การตลาดที่ใช้ถ่ายทอดเรื่องราว สร้างอารมณ์ร่วม เพื่อให้คนเกิดความสนใจและจดจำแบรนด์ การเล่าเรื่องยังทำให้สินค้า/บริหารมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ เพิ่มความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคต่างสนใจในการเล่าเรื่องมากขึ้น โดยการใช้สื่อต่างๆที่อยู่ในโลกโลกออนไลน์เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดย หหากเราไม่ถูก หรือเราไม่เป็นก็อาจจะทำให้คนที่ได้รับข้อมูลเกิดความไม่เข้าใจและไม่ซื้อสินค้า นักการตลาด ควรรู้จักวิธีการเล่าเรื่องอย่างถูกต้อง โดยดึงเอาประสบการณ์หรือความรู้ที่อยู่ภายในของผู้เล่าถ่ายทอดออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ถึงความเป็นมา จุดพลิกผัน คือการเล่า ที่สร้างความประทับใจ หรือสร้างบทสรุปในตอนท้าย ว่าเรื่องราวทั้งหมดทำให้เกิดอะไรขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Cr.pic: https://incontent.co/

3 กลยุทธ์การตลาดตรงจุด

 Direct Marketing

เป็นวิธีการส่งเสริมการขาย ที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข้อมูล โดยไม่ต้องใช้คนกลางในการโฆษณา นำเสนอข้อมูล ที่น่าสนใจในช่วงนี้ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายกำลังอยากได้อะไร กำลังมองหาอะไร  และถ่ายทอดเนื้อหาการสื่อสารออกไปให้เข้ากับลูกค้ามากที่สุด การใช้สื่อออนไลน์และข้อมูลที่มีทำการตลาดหรือสื่อสารออกไปอย่างไรที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราช่างเป็นแบรนด์ที่เข้าอกเข้าใจเขามากที่สุด 

Cr.pic: https://www.pangpond.com/

4.กลยุทธ์การตลาดของคนชอบอวด

Bragger Marketing  โดยใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยา ในการอวดของผู้บริโภคเขาจากการศึกษาได้บอกไว้ว่าการผ่านการโพสต์อวดสินค้าแบรนด์เนมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า หรืออาหารหรือการแชร์บนโลก อินเตอร์เน็ตนั้น จะเกิดความอยากได้อยากมี แต่อวดกับเขาบ้าง โดยได้ศึกษาพฤติกรรมส่วนใหญ่ เพื่อสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนไปเป็นการอวดที่ส่งผลดีต่อธุรกิจ 

Cr.pic: https://mthai.com/other/249623.html

การคิดหากลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้ากับธุรกิจของคุณได้อาจทำให้คุณรู้สึกสึกสับสนและส่งผลให้ธุรกิจของคุณชะงักงันได้ คุณจำเป็นต้องคิดในเชิงกลยุทธ์และใช้ใจในการทำ 4 กลยุทธนี้เป็นตัวอย่างกลยุทธที่นิยมทำกันไทยซึ่งอยู่กับการปรับใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

5 สิ่งที่ต้องทำในวัย 30+ ในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

ราไม่ควรทุ่มเงินที่เรามีไปลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งเราควรกระจายไปหลาย ๆ ประเภทสินทรัพย์ กองทุนตราสารหนี้ ,กองทุนรวม,กองทุนร่วมหุ้น,หุ้น ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัด

1.กระจายความเสี่ยงไปหลาย ๆ สินทรัพย์

เราไม่ควรทุ่มเงินที่เรามีไปลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งเราควรกระจายไปหลาย ๆ ประเภทสินทรัพย์ กองทุนตราสารหนี้ ,กองทุนรวม,กองทุนร่วมหุ้น,หุ้น ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดและความรู้ด้านการลงทุนของแต่ละคนที่ต้องกระจายลงทุนไปหลาย ๆ ประเภท เนื่องจากในกรณีที่เกิดเหตุการณ์สินทรัพย์ใดผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คุณคิดไว้ เมื่อสถานการณ์การเมืองเศรษฐกิจ สถานการณ์โควิด-19 อาจไม่เอื้ออำนวย ทำให้พอตการลงทุนของคุณติดลบได้หรือแม้กระทั่งหายไปทั้งหมด ก็ยังทำให้เงินลงทุนของเราที่ยังอยู่ในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ยังคงอยู่

Cr.pic: https://mgronline.com/

2.ออมก่อนจ่าย

ออมก่อนจ่าย สบายทั้งชาติ (ออม 1 ส่วนใช้ 3 ส่วน)

25% : เงินเก็บออม

75% : เงินใช้จ่ายจำเป็น + เงินใช้ยามฉุกเฉิน + เงินลงทุน

ตัวอย่าง:

– เงินเดือน 25,000บาท

– เก็บออมก่อน 2,500 บาท

– ใช้จ่ายประจำวัน 6,000 บาท

– ใช้จ่ายฉุกเฉิน 500 บาท

– ลงทุน 2,000 บาท

ซึ่งแล้วแต่การออมของแต่ละคนด้วย โดย ทำไมง่ายๆ เพียงแบ่งเงินเป็นส่วนๆ จะทำให้เราจัดสรรเงินเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญในการออมเงิน จัดการเงินอีกอย่าง คือ คือการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย  การที่เรารู้ว่าในแต่ละวันนั้นเรา มีรายรับและค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ จะทำให้มีการจัดสรรการเงินส่วนบุคคลที่ดี ยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต์นี้โค่นผีโคตรมากขึ้น ถ้าเราใช้ก่อนออมก็ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินได้ แล้วจะทำให้ แผนการที่จะเกษียณเร็วขึ้นช้าลงอีกด้วย

Cr.pic: https://happinesso.me/

3. มีแผนเกษียณเพื่อมีเงินเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ

เงินเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ = ภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน x 12 เดือน x อายุขัยหลังเกษียณ x 2 เท่า

หากเก็บได้จำนวนหนึ่งลองศึกษาการลงทุนที่ปลอดภัย และให้ผลตอบแทนด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมดู และอย่าลืมแบ่งเก็บจากการลงทุนบางส่วนไว้ฝากประจำ เพื่อสำรองเงินสดไว้ยามฉุกเฉินด้วยนะ

Cr.pic: https://www.scb.co.th/

4.มีประกันติดตัวไว้

ดิฉันขอยกตัวอย่าง เช่น

1.ประกันอุบัติเหตุ  ค่ารักษา 1 แสน เสียชีวิต 1 ล้าน 

2.ประกันโรคร้ายแรง เพราะมีโอกาสเป็นหรือไม่เป็นก็ได้

ทำได้หลายแบบค่ะขึ้นอยู่กับว่ามีเป้าหมายและปัญหาสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

Cr.pic: https://www.krungsri.com/

5.การอ่านหนังสือพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

ในช่วงวัย 30+การพัฒนาตนเองสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างความรู้ผ่านคอร์ส
ออนไลน์, ยูทูป ในการเพิ่มพูนความสามารถด้านอื่น ๆที่ตัวเองสนใจนอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ยังช่วยให้คุณปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอนาคต

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Cr.pic: www.crossingthefinishline.org/

อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร

อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร

Influencer (อินฟลูเอนเซอร์) คือใคร ทุกคนอาจจะเห็นตามช่องทางต่าง ๆเช่น เพจ, อินสตาแกรม, เฟซบุ๊ค, ยูทูบ โดยเป็นผู้ที่ทำคอนเทนต์แล้วนำมาเผยแพร่ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆของตนเอง ยิ่งมีผู้ติดตามมากก็ยิ่งได้รับคสามสนใจ ผู้ติดตามยิ่งมีการบอกต่อ แชร์ต่อและเพิ่มการจดจำของแบรนด์ได้ดีอีกด้วย

Cr.pic:https://www.marketingoops.com/

ข้อดีของการจ้าง ผู้ที่มีอิทธิพลบนโซเชียล

1. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายกว่า

เนื่องจากในปัจจุบันมีร้านค้าออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย ส่งผลให้การเข้าถึงลูกค้ายากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นการสื่อสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางมานำเสนอให้ผู้รับสารรู้สึกถึงความใกล้ชิดมากกว่า เป็นคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของตัวเอง หรือมีความคิดเห็นต่าง ๆเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ข้อเสนอ ที่ได้รับพร้อมกับกลุ่มผู้สนใจและผู้ซื้อ ทำให้การโฆษณามีความน่าเชื่อถือสูงและมีการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการตลาดแบบบอกต่อ ซึ่งอาจได้ผลตอบรับที่ดีเลยทีเดียว

2. มีผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในปัจจุบันและอนาคต

การจ้างอินฟลูเอนเซอร์ทำให้แบรนด์มีความเป็นจริงมากกว่าเพราะเมื่อเทียบกับผู้มีชื่อเสียงจากสื่อหลัก อินฟลูเอนเซอร์มักจะจับต้องได้และผูกพันกับผู้ติดตามมากกว่า นั่นทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น นอกจากนี้ การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้เหมาะสมกับแบรนด์จะสามารถเปิดโอกาสให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ได้ เช่น การขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จากกลุ่มนักเรียน นักศึกษา มายังกลุ่มคนทำงาน เมื่อมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้สามารถเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้โดยการใช้อินฟลูเอนเซอร์อย่างเช่นบิวตี้บอกเกอร์ ดารา และ นักแสดง เป็นต้น

Cr.pic:https://www.cotactic.com/

3. สามารถวัดและประเมินผลได้ง่าย

ไม่เหมือนกับสื่อประเภทอื่น คอนแทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์เกือบทั้งหมดอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ นั่นทำให้แบรนด์สะดวกมากเมื่อต้องการวัดผลการดำเนินงาน โดยอาจดูจากยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดคอมเมนต์ ยอดการเข้าถึง หรือยอดการมีส่วนร่วม รวมไปถึงการตรวจสอบติดตามผ่านช่องทางต่างๆ ต่อไป

Cr.pic:https://www.officemate.co.th/

4. เพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์

การทำตลาดทุกรูปแบบ แน่นอนว่าต้องมีเป้าหมายในการเพิ่มยอดขาย ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์นั้นช่วยทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าและบริการ และมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นกว่าการตลาดออนไลน์แบบอื่นๆ นอกจากนี้เรายังสามารถกระตุ้นการสั่งซื้อของลูกค้าให้เกิดขึ้นและขายสินค้าได้ หรือไปใช้บริการได้โดยการกำหนดโค้ดส่วนลด จึงถือโอกาสดีที่ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักและครองใจลูกค้าต่อไป

Cr.pic:https://www.prosoftibiz.com/

5.การนำข้อมูล ข้อเสนอแนะ คำติชมไปใช้งานต่อ

เมื่อแบรนด์ได้ใช้เคมเปญต่าง ๆแล้ว ทำให้แบรนด์มีข้อมูลนำมาวิเคราะห์ต่อได้ว่า โพสต์แบบไหนคนชอบเยอะ รูปภาพหรือวิดีโอแบบไหนผลตอบรับดี มียอดขายเพิ่มขึ้น เพื่อนำข้อมูลไปใช้งานต่อทั้งบนช่องทางของแบรนด์เองต่อไป

Cr.pic:https://www.cigna.co.th/

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

การตลาดสุดปัง ด้วยวิธีInbound and Outbound Marketing

การตลาดสุดปัง ด้วยวิธีInbound and Outbound Marketing

      ในยุคปัจจุบัน การตลาดสามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องเสียเงินค่าการตลาดเยอะ เพราะไม่ใช่โลกที่โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว   ในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส สายการตลาดไม่มีใครไม่รู้จัก Digital Marketing ซึ่งการตลาดแบบนี้สามารถช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจหรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Inbound Marketing หรือการทำการตลาดเพื่อผู้บริโภคจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าเราในเชิงบังคับนั่นคือ Outbound Marketing หากเราเลือกกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะกับประเภทธุรกิจของเรา จะส่งผลให้เราประสบความสำเร็จได้ ในตอนนี้เราขอนำเสนอ Inbound Marketing ที่เหมาะกับธุรกิจ B2B

Cr.pic; https://greendigitalagency.com/what-is-inbound-marketing/

1.การทำการตลาด ต้องเน้นเจาะลึกกลุ่มเป้าหมาย

    ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการทำการตลาด เพราะ การทำการตลาดโดยที่ไม่เจาะจงลูกค้า จะทำให้การทำการตลาดของเราไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราจริงๆ การทำการตลาด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรทำการตลาดในช่องทางอื่นด้วย เพราะหากมีการเปลี่ยนอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม เราก็ต้องปรับปรุงคอนเทนต์ให้ตรงใจสิ่งที่อัลกอริทึมเปลี่ยน

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

2. คอนเทนต์ที่ดี ต้องเน้นคุณภาพ

     ยุคนี้เป็นการทำการตลาดด้วยคอนเทนต์ เพราะผู้คนอยู่ในโลกโซเชียลมากขึ้น ทำให้เสพสื่อผ่านทางโซเชียลมิเดียมากขึ้น ในแง่การผลิตคอนเทนต์ การที่จะใช้คอนเทนต์มาดึงดูดลูกค้าต้องเน้นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ให้ประโยชน์กับผู้อ่านคอนเทนต์มากกว่าการจูงใจให้ซื้อสินค้า ยิ่งเราทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์และความรู้จากคอนเทนต์เรามากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผู้ให้มากเท่าไหร่ จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของเรา ทำให้ลูกค้าเชื่อว่าเราเป็นกูรูเรื่องนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้วการทำเว็บไซต์ของแบรนด์ให้ติดหน้าแรกด้วยคอนเทนต์คุณภาพอย่าง seo

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า

  การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ลูกค้าหันมาสนใจสินค้าของเราได้ เช่น เราทำคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพ ทำให้คนที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และสนใจสินค้าของเรามากขึ้น

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

4. เรียนรู้จากกรณีศึกษา

   การเรียนรู้การทำการตลาดของคู่แข่งที่มีผลิตสินค้าใกล้เคียงกัน ถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินทุนในการทำการตลาดเอง และการทำการตลาดแบบ Offline ยังได้ผลอยู่

    สุดท้ายแล้วเราควรทำการตลาดแบบ Inbound Marketing และ Outbound Marketing ไปพร้อมๆกัน ซึ่งให้ผลลัพธ์ในระยะยาว อาจไม่เห็นผลในทันทีและระยะสั้น แต่ไม่ยั่งยืน การตลาดทั้งสองแบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะฉะนั้นแล้วควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เทคนิคการวางแผนการตลาดยังไงให้ยอดขายปัง

เทคนิคการวางแผนการตลาดยังไงให้ยอดขายปัง

   การทำธุรกิจ นอกจากจะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำกิจการ ยังต้องมีแผนการตลาดที่ดีจะได้นำพาธุรกิจไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ โดยการที่เราจะมีแผนการตลาดที่ดี เราต้องวางแผนการตลาดอย่างรอบคอบ วางแผนงบประมาณการตลาดอย่างคุ้มค่า ใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ

Cr.pic; https://xn--12cas3c2av3m3a0g7c.com/

   สำหรับมือใหม่แล้ว แผนการตลาดที่ดี ควรวางแผนยังไง ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง วางแผนอย่างอย่างไรให้เห็นผลลัพธ์ได้จริง

   แผนการตลาดเป็นการวางแผนการทำกลยุทธ์ทางการตลาด  ว่าต้องมีกิจกรรมกระตุ้นยอดขายอะไรบ้าง ทำแล้วควรได้ผลลัพธ์อย่างไร วัดผลด้วยวิธีใด งั้นเราไปดูพร้อมๆกันเลยว่าแผนการตลาดที่ดีประกอบด้วยอะไรบ้าง นั่นคือ เป้าหมายการตลาดธุรกิจ รายงานสถานการณ์ธุรกิจ ไทม์ไลน์ KPI ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของเรา และลูกค้าของตลาดที่เราทำอยู่ ซึ่งแผนการตลาดที่ดี ควรตอบคำถามว่าเราขายอะไร กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราเป็นใคร ยิ่งลงรายละเอียดถึงอาชีพ อายุ ไลฟ์สไตล์ ของลูกค้าได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ธุรกิจต้องทำอย่างไรถึงจะบรรลุเป้าหมายการเพิ่มยอดขายที่วางไว้ และสุดท้ายคือการวัดผลทางการตลาด ใช้อะไรเป็นตัววัดผล หลังจากที่เราเข้าใจว่าแผนการตลาดต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้างแล้ว เรามาเจาะลึกแต่ละ step เพื่อให้เข้าใจการวางแผนการตลาดไปพร้อมๆกันดีกว่า

     Cr.pic; https://toancao.com/

  1. ตั้งเป้าหมาย ก่อนจะสร้างแผนการตลาดเราต้องตั้งเป้าหมายก่อน เพื่อให้คนในองค์กรรู้ว่าธุรกิจต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร โดยใช้หลัก SMART GOAL คือ เจาะจง วัดผลได้ ทำได้จริง เป็นจริงได้ กำหนดระยะเวลาที่จะทำสำเร็จ บางบริษัทอาจใช้ KPIs เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของการทำการตลาด

Cr.pic; https://thegrowthmaster.com/

  •  ทำความรู้จักตัวเองและรู้จักตลาด โดยก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับตนเอง เพื่อที่เราจะวางแผนได้อย่างครอบคลุมรัดกุม และเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดได้ได้เหมาะสม เราจะต้องรู้จักตัวเองและตลาดให้ดีก่อน โดยเริ่มเข้าใจที่จุดอ่อน จุดแข็งของธุรกิจเรา มีอะไรบ้างที่แข่งขันทางการตลาดกับคู่แข่งได้ สิ่งไหนที่ควรปรับปรุง และพัฒนาต่อไป ด้วยการใช้ SWOT Analysisมาทำความรู้จักกับธุรกิจตนเองและตลาดที่เราทำธุรกิจอยู่พร้อมกับทุกคนในบริษัท และควรทำวิจัยหรือวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด อุปสงค์ อุปทาน หาจุดต่างหรือจุดเด่นของธุรกิจเราที่ไม่เหมือนใคร เพราะมันจะกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้เราสู้กับแบรนด์อื่นได้

Cr.pic; https://www.bangkokbanksme.com/

  • กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน  โดยใช้เทคนิคลูกค้าในอุดมคติ หรือเราจะหาลูกค้าจากการทำแบบสอบถาม โดยสิ่งที่ต้องมีคือ ข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า อาชีพ เงินเดือน เพศ อายุ ปัญหาของเขา แล้วทำไมเขาควรใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา เป้าหมาย พฤติกรรม ไลฟสไตล์ สิ่งที่สนใจ

Cr.pic; https://trendydigitalagency.com/

  • เข้าใจ customer journeyว่ากว่าลูกค้าจะมาซื้อสินค้าของเรา ต้องมีขั้นตอนอย่างไร ลูกค้าต้องพบปัญหาอะไร และเลือกใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่น ทำโปรโมชั่น ใช้การตลาดแบบปากต่อปาก เป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด แต่ได้ประโยชน์สูงสุด
  • เลือกช่องทางการตลาด วางแผนตั้งงบประมาณ และวางแผนไทม์ไลน์ว่าแต่ละช่วงเวลควรทำอะไร และวัดผลทุกครั้ง เพื่อปรับแผนการตลาดให้ดีขึ้นต่อไป

    บทความนี้ก็พูดถึงคอนเซ็ปการทำการตลาดที่ดี เรื่องทำการตลาด เป็นสกิลที่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ต้องค่อยๆเรียนรู้เพื่อหาแผนการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และการตลาดเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามยุคสมัย เพราะฉะนั้ต้องคอยอัพเดตเทรนด์การตลาดนะคะ หวังว่าทุกท่านจะนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตนเองได้นะคะ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook