Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งบริษัท Amazon

Jeff Bezos

Jeff Bezos บอก! ผมใช้เงินไปกับการช่วยเหลือโลกมากกว่าการไปอวกาศ

Jeff Bezos มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก ผู้ก่อตั้งบริษัท Amazon และเป็นอดีต CEO ของบริษัท ได้มีการใช้เงินไปกับการช่วยเหลือโลกเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อนมากกว่าการใช้เงินไปกับการจัดทัวร์อวกาศ 

Jeff Bezos ได้รับสัมภาษณ์ภายในงาน Ignatius Forum ที่ถูกจัดขึ้นที่ Washington D.C. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยข่าวได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการใช้เงินโดยมีคนจำนวนมากมายที่อยากให้คนที่เป็นมหาเศรษฐีอย่าง Jeff Bezos ใช้เงินกับการช่วยเหลือโลกไม่มีปัญหาภาวะโลกร้อนมากกว่าใช้เงินเพื่อการไปท่องเที่ยวอวกาศ โดยตัวของมหาเศรษฐีอันดับ 2 อย่าง Jeff Bezos ได้ตอบกลับไปว่า “พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเราทำทั้งสองอย่างแต่ความพร้อมกันได้ และทั้งสองอย่างนั้นก็เชื่อมต่อกันอย่างลึกซึ้ง” โดยเขายังบอกอีกด้วยว่า “ผมใช้เงินไปกับ Bezos Earth Fund มากกว่าใช้เงินไปกับอวกาศเสียอีก ”

Bezos Earth Fund เป็นกองทุนที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 โดยตัวของ Jeff Bezos ก็ได้บริจาคเงินจำนวน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นต้นทุน เพื่อใช้ในการต่อสู้และแก้ปัญหาวิกฤตภาวะโลกร้อน โดยเป็นการระดมทุนให้กับนักวิทยาศาสตร์ นักเคลื่อนไหว และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อใช้ในการดูแลรักษาโลกและแก้ปัญหาดังกล่าว โดยกองทุนดังกล่าวได้รับการสนับสนุนเป็นจำนวนเงิน 947 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเหลืออีก 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งจะสิ้นสุดภายในปี 2030 

Jeff Bezos บอกว่า “มีอีกหลายสิ่งมากมายที่ต้องทำบนโลกของเรา แต่เรายังต้องการความศิวิไลดังนั้นเพื่อที่จะให้เป็นเช่นนั้นเราต้องพัฒนาทรัพยากรบนดาวอื่นด้วย หลังจากที่เขาได้ลงจากตำแหน่ง CEO ของบริษัทตามที่ได้ประกาศมาเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้ เขาก็ใช้เวลาไปกับตัวเองมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในบริษัท Blue Origin ที่เป็นบริษัทยานอวกาศ หรือว่าในกองทุน Bezos Earth Fund โดยตัวของเขานั้นมีความสนใจในด้านอวกาศตั้งแต่ในวัยเด็กเขาอยากจะสร้างโรงแรมสร้างสวนสนุกบนอวกาศ ซึ่งตอนนี้ตัวเขาก็เป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกและกำลังเดินหน้าตามความฝันของเขา 

ในช่วงกลางปีที่ผ่านมาเราก็ได้เก็บเขาจัดทริปเที่ยวบินอวกาศขึ้นมาแล้วโดยการพาผู้ประมูลตั๋วเที่ยวบินขึ้นไปชมอวกาศเป็นเวลา 10 นาทีและสามารถนำนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่ไปกับยาน The New Shepard กลับสู่โลกได้สำเร็จ ซึ่งก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่จะต่อยอดไปในเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต 

สำหรับในอนาคตก็ต้องมาคอยติดตามว่าโลกนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดและกองทุน Bezos Earth Fund ที่ถูกก่อตั้งขึ้นจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้มากน้อยเพียงใด จะมีการสนับสนุนแนวทางในการช่วยโลกจากวิกฤตปัญหาภาวะโลกร้อนได้มากน้อยเพียงใด สำหรับเนื้อเรื่องภาวะโลกร้อนตอนนี้ทุก ๆ ประเทศทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับปัญหาดังกล่าวและกำลังช่วยหาทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพื่อที่จะทำให้โลกได้มีสภาพที่ยังคงเดิมต่อไปให้นานมากยิ่งขึ้น

ภาพจาก Wallpaperaccess

ข้อมูลจาก CNBC

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Google ส่งวิศวกรช่วยเหลือบริษัทสตาร์ทอัพ

Google

บริษัท Google เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีและโลกอินเทอร์เน็ต

บริษัท Google เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีและโลกอินเทอร์เน็ตซึ่งมีพนักงานที่มีความสามารถและเป็นที่ยอมรับในสังคม นอกจากพัฒนาบริษัทของตัวเองแล้วบางครั้ง Google ก็ส่งพนักงานของตัวเองเข้าไปช่วยเหลือในการพัฒนาบริษัทอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน

Normative เป็นบริษัทสตาร์ทอัพพี่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อนและเป็นบริษัทสัญชาติสัญชาติสวีเดนที่ได้รับการช่วยเหลือจากบริษัท Google บริษัท Normative เพิ่งได้มีการประกาศระดมทุนจากนักลงทุนจำนวน 10 ล้านยูโรซึ่งจะนำไปพัฒนาบริษัทให้เป็นบริษัทที่รักษ์โลก และด้วยเหตุนี้ CEO ของบริษัทจึงได้มีการขอความช่วยเหลือวิศวกรจาก Google เพื่อให้เข้ามาช่วยพัฒนา emission counting software สำหรับใช้ในการคำนวณ environmental footprint

วิศวกรของบริษัท Google นั้นจะเข้ามาช่วยเหลือในการสร้างซอฟต์แวร์ในเวอร์ชัน “เริ่มต้น” ซึ่งการเข้ามาทำงานร่วมกับบริษัท Normative ของวิศวกรจาก Google จะเข้ามาทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาโดยจะทำงานร่วมกันกับพนักงานของบริษัท Normative เป็นระยะเวลา 6 เดือนด้วยกัน ทำให้ทางตอนนี้บริษัทมีทีมพัฒนาจำนวนมากกว่า 50 คน โดยซอฟต์แวร์ที่ได้มีการพัฒนานั้นจะมีการเปิดตัวภายในงาน COP26 climate conference ที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้

Jen Carter ผู้ที่เป็น head of technology and volunteering ที่ Google.org ได้บอกกับสื่อ cnbc ว่าการที่การคำนวณอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับบริษัทเล็กๆ เพราะว่าพวกเขาจะได้รู้ผลกระทบของการกระทำที่ทำลงไปนั้นเอง

นอกจากบริษัท Google จะพัฒนาและพยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาโลกของเราให้ดีมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้นเพื่อลดจำนวนขยะภายในบริษัทของตัวเองแล้วยังพยายามช่วยเหลือบริษัทเล็ก ๆ ที่มีความต้องการที่จะช่วยเหลือโลกด้วย ครึ่งก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั่นเอง

ไปอดีตต้องยอมรับว่าการพัฒนาของเทคโนโลยีนั้นยังไม่ได้ก้าวหน้ามากนักทำให้โรงงานหรือบริษัทต่าง ๆ ใช้พลังงานเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังงานที่สร้างก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลกซึ่งทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แต่ว่าในปัจจุบันเมื่อมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้นสายงานการผลิตหลาย ๆ สายงานมักจะใช้พลังงานจากธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ซึ่งพลังงานจากธรรมชาตินั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากเลยทีเดียว และบริษัทและโรงงานที่เกิดขึ้นใหม่ก็มักที่จะเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นมีการรีไซเคิลมากขึ้นเพราะว่ามีการตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งการที่บริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ ๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้นให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นก็คงช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้มากเลยทีเดียว  ซึ่งก็เหมือนว่าการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนนั้นเป็นเป้าหมายของบริษัทรุ่นใหม่และบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ บริษัท

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก cnbc

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook