ประกันออมทรัพย์…การออมเงินแห่งความหวังช่วงโควิด

ประกันออมทรัพย์…การออมเงินแห่งความหวังช่วงโควิด

               การออมเงินในปัจจุบันที่เน้นงอกเงยอย่างงดงามมากที่สุด หลายคนคงนึกถึงการลงทุน ไม่ว่าจะลงทุนซื้อสลากออมสินบ้าง ลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์บ้าง แต่ใครจะรู้ว่าการทำประกันออมทรัพย์ก็เป็นสิ่งที่ช่วยในด้านการลงทุนได้เป็นอย่างดี เพราะเหมือนกับเราได้เก็บเงินออมไปในตัว ซึ่งผู้เขียนมองว่านอกจากประกันโรคโควิดแล้ว ควรซื้อประกันออมทรัพย์ควบคู่ด้วย เพื่อในอนาคตข้างหน้าเมื่อกรมธรรม์สิ้นสุด สามารถรับเงินประกันคืนแล้วต่อกรมธรรม์ต่อได้ทันที ในบทความนี้ผู้เขียนจะมานำเสนอว่าในช่วงโควิดทำไมเราควรทำประกันออมทรัพย์ควบคู่ด้วย

               ประกันออมทรัพย์ก็เปรียบเสมือนประกันแห่งความหวัง เนื่องจากในยุคนี้ที่ประเทศไทยไม่สามารถตอบโจทย์ด้านการออมเงินมากเท่าที่ควร การออมเงินแบบปกติจึงเหมือนแค่ผ่านไปวันต่อวันมากกว่า ถ้าทำประกันออมทรัพย์ด้วย จะเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ค่อนข้างจะปลอดภัย เบี้ยประกันรายงวดถูกลง แต่ต้องอ่านรายละเอียดกรมธรรม์ครบทุกขั้นตอน ทั้งผลประโยชน์ระหว่างสัญญา สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามกฎหมายได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี

แต่รูปแบบของข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการประกันชีวิตของแต่ละบริษัท ควรศึกษาอย่างรัดกุมมากๆ เพื่อสะดวก รวดเร็ว ราบรื่น เราสามารถทำกรมธรรม์ต่อตัวแทนประกันชีวิต เพื่อซื้อสัญญาด้วยการตัดสินใจของตัวผู้ซื้อเอง อาจจะซื้อเพิ่มเติมโดยไม่ต้องยัดเยียดว่าของใครดีกว่า เพื่อให้บริษัทสามารถมอบลักษณะของความคุ้มครอง ไม่ว่าจะด้านการรักษาพยาบาล คุ้มครองเพื่อทรงชีพ คุ้มครองเพื่อการมรณะ หรือช่วยคุ้มครองในด้านอื่นๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสบายใจ ความอุ่นใจให้แก่ตัวเราและคุณเองยิ่งขึ้น ซึ่งถ้ามีตัวเลือกคอยดูแลจะทำให้คุณลดความวิตกกังวล เนื่องจากมีตัวเลือกเดียวในการออมเงินได้

               ประกันออมทรัพย์มีอยู่ 2 ประเภทที่มีในแต่ละบริษัทประกันชีวิต เช่น ประกันออมทรัพย์แบบไม่มีเงินปันผล กับประกันออมทรัพย์แบบมีเงินปันผล จะว่าไปการลงทุนในประกันออมทรัพย์ไม่ว่าแบบไหนก็ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดในเรื่องความเป็นไปได้ จะว่าไป…ประกันออมทรัพย์ก็ช่วยให้เรามีเงินก้อนของตนเองไว้ในอนาคตอีกด้วย

               ถ้ามองดีๆ จะรู้เลยว่าการทำประกันออมทรัพย์มีประโยชน์กว่าที่คิด จะเห็นได้ว่าในหลายๆ คนที่อยู่ในช่วงวิกฤตโควิดไม่ว่าจะในระลอกไหนก็ตาม คนที่มีประกันชีวิตประเภทออมทรัพย์จะประคับประคองตัวเองได้มากกว่า ซึ่งคนกลุ่มนี้จะวางแผนตั้งแต่เริ่ม เพื่ออนาคตของตนเอง และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า (จะมองว่าคนไม่ทำประกันออมทรัพย์เป็นเรื่องผิดเสมอไปหรอกนะ) แต่ในมุมมองของผู้เขียน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ตอนนี้ควรทำไว้เถอะนะ…ขอร้องล่ะ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก  
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

อยากใช้เงินตามใจฉัน ไม่กังวล…จะออมเงินยังไงดี

อยากใช้เงินตามใจฉัน ไม่กังวล...จะออมเงินยังไงดี

                อิสระทางการเงินคือสิ่งที่ใครๆ หลายคน ไม่ว่าจะฐานะทางการเงินเป็นแบบไหนก็ตาม เราก็อยากเก็บเงินสักก้อนเพื่อที่ตนเองจะได้ใช้ชีวิต มากกว่าที่จะมานั่งทำงานเพื่อเงิน แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะให้เงินทำงานอย่างไร เพื่อที่ตนเองจะได้มีอิสระในการใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างไร้กังวล สามารถตามใจฉันได้โดยไม่ต้องกลัวว่า เงินจะไม่พอ หรือต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องครอบครัว ในบทความนี้จะมาแนะนำว่าเราจะมีอิสระทางการเงินจากการออมเงินได้อย่างไร

                อิสรภาพทางการเงินหมายความว่า คุณสามารถตัดสินใจในชีวิตได้โดยไม่ต้องเครียดกับผลกระทบทางการเงินมากเกินไปเพราะคุณเตรียมพร้อมแล้ว คุณควบคุมการเงินของคุณแทนที่จะถูกควบคุมโดยพวกเขา เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินไม่ใช่กลยุทธ์รวยทันใจ และอิสรภาพทางการเงินไม่ได้หมายความว่าคุณจะ “เป็นอิสระ” จากความรับผิดชอบในการจัดการเงินของคุณได้ดี ค่อนข้างตรงกันข้าม การมีอำนาจควบคุมการเงินของคุณได้อย่างสมบูรณ์ คือผลของการทำงานหนักการเสียสละและเวลา และความพยายามทั้งหมดนั้นคุ้มค่า ซึ่งจะวางแผนการออมได้ดังนี้

  • คุณอยากอยู่ที่ไหนใน 10 ปีข้างหน้าของคุณ? เริ่มต้นด้วยจุดนั้นซึ่งเป็นจุดที่คุณกำหนดเองไว้ในใจ งานนี้เหมาะสมกับเป้าหมายโดยรวมของคุณหรือไม่?
  • ถามตัวเองว่าคุณมีศักยภาพในการหารายได้หรือไม่? แม้ว่าคุณจะไม่ได้เงินเดือนในฝันตั้งแต่เริ่มต้น แต่ให้แน่ใจว่ามีโอกาสที่รายได้ของคุณจะเพิ่มขึ้นเมื่อมูลค่าของคุณเพิ่มขึ้น
  • สามารถลงมือทำในเรื่องการออมเงินได้ไหม? มีโอกาสที่คุณจะก้าวขึ้นและเติบโตทั้งในด้านส่วนตัวและด้านอาชีพหรือไม่? ถ้ายังไม่แน่ใจควรรีบศึกษา หรือหาข้อมูลเรื่องการลงทุน
  • คุณสนุกกับงานหรือไม่? อย่าใช้อาชีพในงานที่คุณเกลียด ค้นหาสิ่งที่คุณหลงใหล ควรใช้งานที่ตนชอบซึ่งช่วยให้คุณใช้ของขวัญและทักษะของคุณได้ (เอาง่ายๆ คืออยู่ให้ถนัดและใช่สำหรับตน)
  • ผลประโยชน์ช่วยสนับสนุนเป้าหมายของอิสรภาพทางการเงินหรือไม่? ตัวเลือกสำหรับการออมเพื่อการเกษียณอายุและประกันสุขภาพ อาจส่งผลต่อความสามารถในการสร้างความมั่งคั่งของคุณอย่างมาก

                อิสรภาพทางการเงินเป็นมากกว่าการออมเงินกว่าที่คิดเสียอีก เพียงแต่ความรอบคอบในการออมเงินนั้นสามารถในการครอบคลุมเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด เช่น การซ่อมแซมรถยนต์ โดยไม่ทำนให้เหงื่อแตกตอนตัวเองจนแต้ม ความสนุกเริ่มขึ้นเมื่อคุณตระหนักว่า คุณสามารถตอบสนองความต้องการของผู้อื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะแชร์ประสบการณ์ด้านการออมเงิน การลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ ความคุ้มค่าในการออมเงินเพื่อลำดับความสำคัญ นอกจากนี้ถ้าเรารอบคอบในการออมเงินมากขึ้น เราแทบไม่ต้องกังวลเลยว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มีจะขาดมือเลย

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าการที่เรามีรายรับในหลายๆทางย่อมดีกว่าการที่มีรายรับทางเดียวกันใช่ไหมล่ะ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ในวันนี้เราจึงมี 7 วิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income เก๋ๆมาแชร์เป็นแนวทาง ซึ่งบางเทคนิคก็ถือว่าเป็นทางที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงเยอะเลยแต่ก็สามารถสร้างรายรับให้กับคุณได้ ที่สำคัญใครจะรู้ว่าอนาคตคุณอาจหารายได้หลักมาจากทางเหล่านี้ก็ได้

1.Cryptocurrency

เรียกได้ว่าชั่วโมงนี้ไม่มีเหรียญไหนที่มาแรงเท่ากับ “Solona” อีกแล้ว จากข้อมูลต้นปีเหรียญนี้มีมูลค่า 1.4 ดอลล่าร์ และล่าสุดต้นเดือนกันยายนนี้พุ่งสูงถึง 140 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว เรียกว่าฉุดไม่อยู่จริงๆ ลองคิดดูว่าถ้าคุณซื้อ SOL เดือนสิงหาคมที่แล้วในราคา 30 กว่าดอลลาร์แล้วคุณขายไปในวันนี้ คุณจะได้กำไร 110 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว OMG! ไม่มีอะไรคุ้มกว่านี้แล้ว และอีกหนึ่งเหรียญที่น่าสนใจคือ “Bitcoin” ยิ่งอีลอน มัสก์เข้าวงการนี้มาราคาก็ถีบตัวขึ้นมาก ราคาขึ้น-ลงเร็วไม่ใช่แค่ 5 % หรือ 7 %แต่ขึ้นลงหลักสิบ 10% 20% 30 %ต่อวันและเราก็บอกไม่ได้ว่าคุณจะมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่  ถ้าใครยังไม่เคยลองแล้วสนใจสำหรับมือใหม่ต้องค่อยๆเรียนรู้เทคนิค ดูแนวโน้มให้ดี  เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง!

2.TikTok

ถือว่าสนอง Need คนรุ่นใหม่ได้ดี เพราะไม่ต้องใช้เวลาสร้าง Contents  นานก็มีจำนวนคนรับชมเยอะ ขอแค่คุณมีไอเดียเจ๋งๆก็ทำรายได้มหาศาล  อย่างช่อง @meturr (ยอดฟอล 1.6 ล้าน) ที่ทำ Contents คู่พ่อลูกออกมาแล้วเกิดกระแสโด่งดังทำให้รายการทีวีเชิญไปออกและมีสินค้าเข้ามาให้รีวิวมากมาย  จากคนธรรมดาก็กลายเป็นคนดังเพียงข้ามคืนได้ รายได้มาจากการรับรายการ รับรีวิวสินค้า ไลฟ์สตรีม สปอนเซอร์โฆษณา ส่วนเรทรายได้ของแต่ละช่องก็จะไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับยอดฟอลและกระแส สำหรับใครที่อยากลองเล่นสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น TikTok จาก Apple Store หรือ Play Store ได้เลย

3.ขายภาพถ่ายออนไลน์

สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ คุณรู้หรือเปล่าว่านอกจากคุณจะได้ทำในสิ่งที่เป็นความสุขแล้วยังสามารถทำรายได้ให้กับตัวเองได้ด้วย เพราะสมัยนี้มีเว็บต่างๆที่เปิดให้คุณนำภาพผลงานไปฝากขายได้เช่น

-Shutterstock ( https://www.shutterstock.com )

iStockphoto ( https://www.istockphoto.com/th )

Dreamstime ( https://www.dreamstime.com )

มีผู้ใช้งาน Shutterstock คนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ที่เขาขายภาพได้ 45.75 US (1,372.5 บาท) โอ้พระเจ้า! และภาพนั้นคือภาพผนังสเเตนเลสในลิฟท์ ที่เขาบังเอิญถ่ายจากการขึ้นลิฟท์ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรืออย่างภาพกระจกห้องน้ำที่มีไอน้ำเกาะอยู่ซึ่งเขาก็ใช้มือถือถ่ายได้โดยบังเอิญเช่นกันแต่นำส่งขายได้ถึง 60 US (1,800 บาท) เลยทีเดียวทำให้เราเห็นว่าความบังเอิญก็ทำรายได้มหาศาลให้เราได้!

4.เขียนบทความ

สำหรับใครที่เลิฟการเขียน คุณสามารถทำให้สิ่งที่คุณรักกลายเป็นตัวเงินได้ เพราะสมัยนี้มีเว็บไซต์ต่างๆที่มารองรับมากมาย เช่น

-TrueID In-trend (https://home.trueid.net/)

-Blockdit (https://www.blockdit.com/)

-ThaiSEOBoard (http://www.thaiseoboard.com/)

-Fastwork (https://fastwork.co/)

– Readme.me (https://th.readme.me/)

                อย่างใครที่เป็นมือใหม่หัดเขียนเราขอแนะนำ TrueID เลย ค่าตอบแทน 100 บาทต่อบทความ และเราจะได้รับเงินก็ต่อเมื่อบทความมียอดวิว 500 วิวขึ้นไป เรียกได้ว่าใครมีไอเดียเก๋ๆหรือประสบการณ์อะไรก็มาแชร์กันได้ ขยันมากก็ได้มาก!

5.YouTube Channel

                ใครที่มีทักษะการสื่อสารที่ดี มีเอกลักษณ์ มาลองทำ youtube กัน รายได้นั้นมาจากการขายโฆษณา ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ทำได้ อย่างเด็กเล็กๆก็ยังมาสอนแต่งหน้า รีวิวของเล่น สร้างรายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งถ้าช่องคุณมีไอเดียที่แตกต่าง แปลกใหม่อาจได้งานต่อยอดไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือจ้างไปทำรายการทีวีเลยก็ได้ อย่างช่องยูทูป pangpon js ที่เป็นคนธรรมดามาเริ่มต้นทำยูทูป Contents เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย เริ่มทำประมาณ 6 เดือนได้เงินก้อนแรก 130 กว่าดอล ตีเป็นเงินไทยประมาณ 4,000 บาทเลย คนธรรมดาอย่างเราก็ทำได้!

6.หนังสือเสียง Audiobook

                การสร้างรายได้ช่องทางนี้เรียกได้ว่าลงทุนแค่เสียง  เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาหรือผู้บกพร่องทางการอ่านได้รับรู้เนื้อหาจากหนังสือ คุณสามารถเสนอเสียงของตัวเองให้แก่สำนักพิมพ์ทำเป็นหนังสือเสียงเพื่อวางจำหน่ายได้ โดยผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ookbee , beeber , meb เป็นต้น และรายได้ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างตามการประกาศรับคนอ่านหนังสือเสียงตามเว็บไซต์ต่างๆส่วนใหญ่จะได้เงินต่อการอ่าน 1 เล่มประมาณ 1,500-2,000 บาท ว้าวเลยใช่ไหมล่ะ!

 7.ขายคอร์สเรียนออนไลน์

                ไม่ต้องจบครุศาสตร์ก็เป็นครูได้! ขอแค่คุณมีความถนัดไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส คณิตศาสตร์ หรือนอกเหนือจากนี้เช่น การแต่งหน้า การตัดผม การจัดดอกไม้ การทำขนมต่างๆ ลงทุนลงแรงเพียงครั้งเดียวแต่ได้ Passive income แบบระยะยาว เรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก ! อย่างกัปตันไอซ์ Admission Reality 5 by dek-d สมัยแอดมิดชั่นเรียกได้ว่าดังมาก! ตอนนี้เธอเปิดโรงเรียนสอนภาษาออนไลน์ อย่างคอร์สปู grammar ราคา 1000 บาทเท่านั้น! รายได้จากการขายคอร์ส ออนไลน์ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปแต่รับรองว่าได้เงินดีและยังแชร์ความรู้อีกด้วย

                ใครที่สนใจหรือมีความถนัดทางด้านไหนก็สามารถไปศึกษาเป็นแนวทางเพื่ออนาคตข้างหน้า หรือไปสร้างรายได้กันได้เลย และไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น อายุไม่ใช่ปัญหาเลย รับรองว่าการมีรายรับสองทางอย่างไรแล้วก็ดีกว่าทางเดียวเสมอ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ออมเงินแบบ 50/30/20 เหมาะกับสังคมไทยอย่างไรบ้าง

ออมเงินแบบ 50/30/20 เหมาะกับสังคมไทยอย่างไรบ้าง

                ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าการออมเงิน เป็นอะไรที่ยากลำบากมากสำหรับคนที่อยู่ในช่วง COVID-19 เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร แต่เราก็ต้องอยู่อย่างมีความหวังจริงไหม การออมเงินเรียกได้ว่า ณ ตอนนี้ทำอะไรได้ทำไปก่อน อาจจะหยอดกระปุกออมสินบ้าง อาจไปฝากเงินเข้าธนาคาร หรืออาจฝากเงินจากการได้รับเงินก้อนโตจากครอบครัว ซึ่งเราเองก็ไม่อยากให้เงินเหล่านั้นขาดมือหรือหายไป เอาล่ะในบทความนี้จะมาแนะนำสูตรการออมเงินแบบ 50/30/20 ซึ่งเป็นสูตรเก็บเงินที่เรียกได้ว่าดีมากๆ เลยล่ะ ซึ่งจะอธิบายสูตรการออมเงินได้ดังนี้

                การออมเงินแบบ 50/30/20 จะไม่ค่อยต่างจากการออมเงินสูตร ออม 1 ส่วน ใช้ 3 ส่วนนัก แต่สิ่งที่แตกต่างชัดเจนคือ 50/30/20 เป็นการออมเงินที่แบ่งตามร้อยละของเงินที่ได้นี่แหล่ะ สามารถคำนวณได้จากรายรับของตนเอง ไม่ว่าจะกลุ่มทำงานอาชีพอะไร แม้กระทั่งกลุ่มทำงานพาร์ทไทม์ ควรใช้สูตรนี้มากๆ ปกติแล้วตามวิธีการออมเงินแบบ 50/30/20 ซึ่งในต่างประเทศนิยมมาก แต่สามารถใช้ในประเทศไทยได้ ถ้าจะใช้สูตร 50/30/20 ต้องอ้างอิงจากเงินที่ตนมี จะกี่บาทก็ได้ และวางแผนการออมว่าออมเพื่ออะไร จะได้สัดส่วนที่ชัดเจนกว่าการออมแบบอื่นค่อนข้างมากเลยทีเดียว

  • ควรสำรองงบประมาณไว้ 50% สำหรับสิ่งจำเป็น เช่น ค่าเช่า งวดรถรายเดือน อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ไม่ว่าจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
  • 30% สำหรับการใช้จ่ายตามดุลยพินิจและอย่างน้อยควรจะมีในสัดส่วนนี้ เช่น เงินสำรองค่ารักษาพยาบาล เงินเดือนส่งให้พ่อแม่ที่บ้าน
  • 20% สำหรับการออม อันนี้ไม่ควรแตะต้องด้วยประการทั้งปวง เพราะไม่อย่างนั้นเป้าหมายจะเสียทันที แล้วเราต้องมานับหนึ่งใหม่ ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนี้

                การออมเงินด้วยสูตรนี้ดูเหมือนง่ายพอ คุ้มค่าคุ้มเวลาในการจัดการด้านการเงิน และนี่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นที่เพิ่งเริ่มจะฝึกคำนวณการใช้งบประมาณ สิ่งสำคัญคือต้องทำความคุ้นเคยกับการรู้ว่าเงินของคุณกำลังไปที่ใด โดยการแบ่งการเงินของคุณออกเป็นสามประเภทที่แตกต่างกัน ส่วนที่ดีที่สุดเกี่ยวกับระบบงบประมาณนี้คือคุณยังสามารถจัดงบประมาณเพื่อความสนุกสนานได้ เช่น เที่ยว ช็อปปิ้ง หรือปาร์ตี้ส่วนตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดการเป้าหมาย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดการเงินของคุณอย่างเหมาะสมในขณะที่ใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย สิ่งนี้เองจะทำให้เรามีแผนรับมือสำรองได้ดีกว่าการออมแบบออม 1 ส่วน ใช้ 3 ส่วนอย่างมาก

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

5 ปัจจัยความผิดพลาด ของธุรกิจ SMEs

5 ปัจจัยความผิดพลาด ของธุรกิจ SMEs

ในประเทศไทยธุรกิจรายย่อย SMEs มีความสำคัญว่าในการเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า เพราะทำให้เกิดการสร้างงานในชุมชน เกิดการกระจายรายได้ในชุมชน การบริหารธุรกิจให้มีมีประสิทธิภาพ ไม่ควรมองข้าม 5 ความผิดพลาดซึ่ง ในการ บริหารสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจ เรามาดู 5 ความผิดพลาดที่เป็นปัจจัยเสี่ยงนั้นมีอะไรกันบ้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมรับมือและมีทางออกในการที่จะป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

1.การไม่ทำบัญชีรายรับรายจ่าย      

การละเลยที่จะติดตามหรือเก็บข้อมูลเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เป็นสาเหตุให้ SMEs ใช้จ่ายมากกว่าที่ควรจะเป็น เช่น SMEs หลายรายสต๊อกสินค้าไว้เผื่อขาย โดยลืมคิดไปว่าถ้าขายไม่ได้จะทำยังไง การทำบัญชีรายรับรายจ่ายทำให้ทราบถึงรายละเอียดที่มาของเงินและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่ยิ่งละเลยจะทำให้กระแสเงินสดมีปัญหาขึ้นเรื่อย ๆ

Cr.pic:https://www.ncb.co.th/

2 . ไม่ตอบสนองช่องทางการชำระเงินของลูกค้าในยุคโควิด -19

ผู้ประกอบการ SMEs  บางรายมีช่องทางการได้มาของเงินเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วเลยไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มรูปแบบการชำระเงินแบบใหม่ๆ ที่มีความทันสมัยเข้ามาแต่ความคิดแบบนี้กลับทำให้ SMEs ในช่วงที่ขาดรายได้หรือมีรายได้ที่ลดลงเนื่องจากคนสั่งและจ่ายเงินผ่านจ่ายเงินผ่านระบบ e-Payment หรือแอพวอลเลตมากขึ้น

Cr.pic: https://www.igetweb.com/

3 .เลือกกลุ่มเป้าหมายผิด

การเลือกกลุ่มเป้าหมายผิดแล้ว การตลาดย่อมพลาดตามไปด้วย การเลือกตำแหน่ง ที่ตั้ง การประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถเลือกเนื้อหาและโปรโมชั่นให้เหมาะสมกับผู้ซื้อได้ เช่น ร้านอาหารที่กำหนดราคาสูงแต่กลุ่มผู้ซื้อเป็นเด็กซึ่งไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้ที่จ่ายเงินได้คือวัยทำงานและผู้ปกครอง เป็นต้น

Cr.pic:https://www.cz.co.th/

4 .การขาดสภาพคล่อง

เป็นสาเหตุหลักๆ ในการล้มเหลวเนื่องด้วยการทำธุรกิจจะพบเจอปัญหาอยู่ตลอด ดังนั้นหากบริหารค่าใช่จ่ายไม่ดี  จะทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่องจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิ้น และต้องใช้คืน ทำให้ธุรกิจของเราเป็นหนี้ไม่รู้ตัว มีปัญหามากขึ้นกว่าเดิม มีปัญหาจนต้องเลิกกิจการก็มี การแก้ปัญหาโดยการเพิ่มเงินลงทุน หาคนมาร่วมลงทุนเพิ่ม

Cr.pic:https://www.mrlikestock.com/

5 . การจัดการเรื่องภาษีไม่ดีพอ

       เรื่องของการบริการจัดการภาษีที่ไม่ดีพอมักจะเกิดขึ้นทุกๆปี เมื่อถึงฤดูกาลยื่นแบบเพื่อเสียภาษี เพราะผู้ประกอบการ SMEs หลายรายมักไม่สนใจในการประมาณการรายได้ รายจ่าย ทำให้การคำนวณภาษีในแต่ละปีให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง

ผู้ประกอบการ SMEs ควรศึกษาข้อมูลทางภาษีและสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การประเมินผลประกอบการและการคำนวณภาษีเป็นไปตามข้อเท็จจริงและมีระบบ ไม่กระทบ

ต่อกระแสเงินสดของกิจการซึ่งในปัจจุบันมีนโยบายของรัฐมากมายมาสนับสนุน SMEs โดยเฉพาะ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ภาษีคริปโต ต้องรู้

ภาษีคริปโต ต้องรู้

  ก่อนที่เราจะเริ่มเทรดคริปโต สิ่งหนึ่งทีควรรู้ คือ การเก็บภาษี จากนักลงทุน เพระช่วงต้นปีที่ผ่านมา สรรพกรได้ออกกฏเกณฑ์เรียกเก็บภาษี ทำให้เป็นที่ถกเถียงของนักลงทุนในเรื่องความไม่สมเหตุผลต่อการเรียกเก็บภาษี โดยคิดภาษีจากกำไรที่ลงทุนในคริปโต แต่ไม่รวมกับการหักผลขาดทุน เพราะที่จริงควรเก็บภาษีจากกำไรที่หักล้างกับเงินที่ขาดทุนไปแล้ว และยังคงมีปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดเก็บข้อมูลหลักฐาน การยื่นภาษีที่ยุ่งยาก วันนี้เราจึงมาสรุปเรื่องที่ควรรู้ก่อนจ่ายภาษีคริปโต

Cr.pic; https://money.kapook.com/

  อัพเดทข่าวใหม่ สรรพกรแก้ไขภาษีคริปโต โดยกำไรจะต้องหักผลขาดทุน ก่อนจะนำไปเสียภาษี ภาษีคริปโตมีการเก็บภาษีเงินได้ การหักภาษี ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม  ตอนนี้มีคู่มือชำระภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลมาแล้ว เพื่อช่วยในการตัดสินใจ ทำให้เกิดการเก็บภาษีคริปโตแบบใหม่

วิธีคิดภาษี คิดอย่างไร

               การเก็บภาษีเงินได้ จากเดิมที่มีปัญหาว่า คนที่ทำธุรกรรมผ่านคริปโต อาจขาดทุนมากกว่าได้กำไร เพราะต้องนำเงินได้จากกำไรไปหักภาษีอีก และมีความซับซ้อนในการเก็บหลักฐาน แต่ปัจจุบันสามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับกำไรได้แล้ว แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำธุรกรรมในปีเดียวกันเท่านั้น

Cr.pic; https://money.kapook.com/

               การหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ซึ่งในทางปฏิบัติเราไม่สามารถทำได้จริง เพราะตามเก็บยาก จะระบุตัวตนผู้ทำธุรกรรมยาก ทำให้สรรพกรออกกฎใหม่ว่า ยกเว้นหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%     

               การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจ exchange คริปโต ทำให้บริษทเหล่านี้หลีกเลี่ยงการขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.ทำให้สรรพกรออกกฎใหม่ว่า ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะบริษัทที่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.

Cr.pic; https://money.kapook.com/

          หากเราเทรดกับexchangeต่างประเทศ กรณีที่พอได้กำไรแล้วถือครองเงินไว้ แล้วเอาเข้ามาปีถัดไปถึงจะไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเทรดโดยใช้exchangeไทย สรรพกรคิดตามการทำธุรกรรมการเงินที่ได้กำไร แล้วนำมาหักลบกับผลขาดทุน โดยไม่จำเป็นต้องถอนรายได้มาใส่บัญชี

         กรณีมีรายได้ จากการล็อคเหรียญ หรือการทำ Defi ได้ดอกเบี้ยจากเงินฝาก จะนำผลตอบแทน มาหักภาษีนั่นเอง

         กรณีขุดเหรียญ เปรียบเสมือนการผลิตสินค้าขาย โดยถือว่าเป็นรายได้ เมื่อเกิดการทำธุรกรรมแล้วปลดบล็อกได้ จากนั้นถึงหักต้นทุนค่าใช้จ่ายตามจริง

Cr.pic; https://money.kapook.com/

         สรุปการเก็บภาษีคริปโต จะมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่ไม่เสียภาษีคริปโต เมื่อรายได้จากการเทรดไม่เกินหกหมื่นบาทต่อปี  หากพบว่ายื่นภาษีไม่ครบ จะสียดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน แม้ไม่นำรายได้จากการเทรดคริปโตเข้าบัญชีก็เสียภาษี หากอยากทราบรายละเอียดมากกว่านี้ สามารถติดตามที่คู่มือชำระภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลของกรมสรรพกรได้แล้ววันนี้

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

การตลาดสุดปัง ด้วยวิธีInbound and Outbound Marketing

การตลาดสุดปัง ด้วยวิธีInbound and Outbound Marketing

      ในยุคปัจจุบัน การตลาดสามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องเสียเงินค่าการตลาดเยอะ เพราะไม่ใช่โลกที่โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว   ในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส สายการตลาดไม่มีใครไม่รู้จัก Digital Marketing ซึ่งการตลาดแบบนี้สามารถช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจหรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Inbound Marketing หรือการทำการตลาดเพื่อผู้บริโภคจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าเราในเชิงบังคับนั่นคือ Outbound Marketing หากเราเลือกกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะกับประเภทธุรกิจของเรา จะส่งผลให้เราประสบความสำเร็จได้ ในตอนนี้เราขอนำเสนอ Inbound Marketing ที่เหมาะกับธุรกิจ B2B

Cr.pic; https://greendigitalagency.com/what-is-inbound-marketing/

1.การทำการตลาด ต้องเน้นเจาะลึกกลุ่มเป้าหมาย

    ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการทำการตลาด เพราะ การทำการตลาดโดยที่ไม่เจาะจงลูกค้า จะทำให้การทำการตลาดของเราไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราจริงๆ การทำการตลาด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรทำการตลาดในช่องทางอื่นด้วย เพราะหากมีการเปลี่ยนอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม เราก็ต้องปรับปรุงคอนเทนต์ให้ตรงใจสิ่งที่อัลกอริทึมเปลี่ยน

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

2. คอนเทนต์ที่ดี ต้องเน้นคุณภาพ

     ยุคนี้เป็นการทำการตลาดด้วยคอนเทนต์ เพราะผู้คนอยู่ในโลกโซเชียลมากขึ้น ทำให้เสพสื่อผ่านทางโซเชียลมิเดียมากขึ้น ในแง่การผลิตคอนเทนต์ การที่จะใช้คอนเทนต์มาดึงดูดลูกค้าต้องเน้นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ให้ประโยชน์กับผู้อ่านคอนเทนต์มากกว่าการจูงใจให้ซื้อสินค้า ยิ่งเราทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์และความรู้จากคอนเทนต์เรามากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผู้ให้มากเท่าไหร่ จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของเรา ทำให้ลูกค้าเชื่อว่าเราเป็นกูรูเรื่องนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้วการทำเว็บไซต์ของแบรนด์ให้ติดหน้าแรกด้วยคอนเทนต์คุณภาพอย่าง seo

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า

  การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ลูกค้าหันมาสนใจสินค้าของเราได้ เช่น เราทำคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพ ทำให้คนที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และสนใจสินค้าของเรามากขึ้น

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

4. เรียนรู้จากกรณีศึกษา

   การเรียนรู้การทำการตลาดของคู่แข่งที่มีผลิตสินค้าใกล้เคียงกัน ถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินทุนในการทำการตลาดเอง และการทำการตลาดแบบ Offline ยังได้ผลอยู่

    สุดท้ายแล้วเราควรทำการตลาดแบบ Inbound Marketing และ Outbound Marketing ไปพร้อมๆกัน ซึ่งให้ผลลัพธ์ในระยะยาว อาจไม่เห็นผลในทันทีและระยะสั้น แต่ไม่ยั่งยืน การตลาดทั้งสองแบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะฉะนั้นแล้วควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เพิ่มแฮชแท็กธุรกิจ LGBT+ ใน Google Map

เพิ่มแฮชแท็กธุรกิจ LGBT+ ใน Google Map

ปัจจุบันนี้ความเท่าเทียมกันถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากไม่ว่าคุณจะเป็นเพศสภาพไหนหรือว่าเป็นเชื้อชาติใดผิวสีใดทุกคนต่างมีความเท่าเทียมและมีความเป็นมนุษย์เท่ากัน หลาย ๆ คนและหลาย ๆ ธุรกิจเริ่มมีการเห็นค่าในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้นและเริ่มเปิดโอกาสให้กับกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้นโดย Google เป็น 1 บริษัทที่ออกมาสนับสนุนความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์

ภาพ Google

Google ได้มีการเพิ่มป้ายเจ้าของธุรกิจเข้าไปใน Google map เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าของธุรกิจนั้นเป็นกลุ่มคนประเภทใดตัวอย่างเช่น Black-owned (หมูดำ) , Latino-owned (คนลาติน) , veteran-owned (ผ่านศึก) , and women-owned (ผู้หญิง) โดยล่าสุดได้มีการเพิ่มป้าย LGBT+ – owned (กลุ่มหลากหลายทางเพศ) เข้าไปด้วย เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาค้นหาใน google maps รู้ว่าเจ้าของธุรกิจดังกล่าวเป็นกลุ่มคนหลากหลายทางเพศนั่นเองและเพื่อให้คนในคอมมูนิตี้เดียวกันนั้นเข้ามาสนับสนุน โดยในการค้นหาธุรกิจดังกล่าวสามารถค้นหาใน Google map โดยใช้คำว่า “LGBTQ-owned businesses”

ภาพ Canva

ซึ่งหลังจากที่ Google ได้มีการเพิ่มป้ายสถานะของผู้ดำเนินธุรกิจเข้าไปใน Google map ก็มีคนได้เข้าไปใช้งานจำนวนมากโดยมีผู้ใช้งานชาวผิวสีผู้หนึ่งที่ชื่อว่า Taylor Lyles ได้มีการบอกว่าการที่จะขอป้ายผู้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมีการยืนยันตัวตน โดยทำแค่เพียงขอ Google ให้มีการติดป้ายให้เพียงเท่านั้นและไม่มีขั้นตอนอื่น ๆ เลย ด้วยกระบวนการดังกล่าวทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีผู้ใช้งานบางรายที่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ในการหลอกลวงระบบผลลัพธ์ของการค้นหา

ซึ่งในส่วนนี้ทางGoogle เองก็มีระบบในการตรวจสอบเพื่อให้มีความปลอดภัยด้วยเช่นเดียวกันโดยเป็นการตรวจสอบจากการรายงานหรือการรีวิว แต่อย่างไรก็ตามระบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ความปลอดภัยของกลุ่มคนดังกล่าวดีขึ้น ถึงแม้จะป้องกันในระบบออนไลน์ได้แต่ไม่สามารถปกป้องกลุ่มเหล่านี้ในชีวิตจริงได้นั่นเอง แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทาง Google พยายามที่จะแก้ไขปัญหา

ภาพ Pexels

และถึงแม้จะมีคนที่ต่อต้านกลุ่มความหลากหลายทางเพศ กลุ่มผิวสี หรือกลุ่มใด ๆ ก็ตาม แต่โดยภาพรวมแล้วคนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับความเท่าเทียมกันมากขึ้นและมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตปัญหานี้อาจจะลดลง การที่มีบริษัทใหญ่อย่าง Google เข้ามาช่วยเหลือ ก็อาจจะทำให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น

Tags #Google #Googlemap #LGBT+ #ธุรกิจ

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เก็งกำไรในตลาดคริปโตฟิวเจอร์อย่างไรไม่ให้ขาดทุน

เก็งกำไรในตลาดคริปโตฟิวเจอร์อย่างไรไม่ให้ขาดทุน

ตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลกำลังได้รับความนิยมอย่างมากเลยทีเดียวในปัจจุบันนี้คนจำนวนมากหันไปลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวและก็มีไม่น้อยเช่นเดียวกันที่เข้าไปทำกำไรเพื่อหวังผลตอบแทนระยะสั้นและหนึ่งในวิธีการเก็งกำไรที่ดีที่สุดและได้ผลตอบแทนมากที่สุดนั่นก็คือการซื้อขายสัญญาณล่วงหน้า

การซื้อขายสัญญาณล่วงหน้านั้นเป็นวิธีที่จะทำให้ได้ผลกำไรได้ดีในช่วงระยะเวลาอันสั้นแต่ก็มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกันหลายคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องของการวิเคราะห์กราฟเมื่อเข้าไปในตลาดดังกล่าวก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเยอะด้วยเช่นเดียวกันดังนั้นความเข้าใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการซื้อขายสัญญาณล่วงหน้า

ภาพจาก Pixabay

วิธีลดความเสี่ยงในการเก็งกำไรในตลาด

  1. ความเสี่ยง เป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงเนื่องจากตลาดนี้มีโอกาสสามารถจะทำกำไรได้สูงและขาดทุนได้สูงมากด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากในตลาดดังกล่าวสามารถคูณผลกำไรขาดทุนได้นั่นเองดังนั้นก่อน ทำการซื้อขายต้องประเมินความเสี่ยงให้ดีเสียก่อน
  2. แผนการที่ชัดเจน เมื่อรู้แล้วว่าเรารับความเสี่ยงได้มากแค่ไหนอีกสิ่งหนึ่งที่ควรมีนั่นก็คือแผนการคนที่จะอยู่ในตลาดดังกล่าวได้จะต้องรู้วิธีอ่านกราฟเบื้องต้น เพื่อใช้ในการวางแผนการต่าง ๆ ในการซื้อขาย และต้องดำเนินการตามแผนอย่างเป็นระบบเพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนให้ได้มากที่สุด

ภาพจาก Pixabay

  • อย่าขาดทุน ในตลาดนี้มีโอกาสที่พอร์ตลงทุนจะติดลบได้มากที่สุดเลยก็ว่าได้ดังนั้นถ้าหากว่าทำตามแผนแล้วกราฟไม่เป็นไปตามอย่างที่เราคาดการณ์ และมีโอกาสที่จะทำให้เราขาดทุนเราควรปิด position ตามแผนที่เราวางไว้ด้วยเช่นเดียวกันเพื่อลดโอกาสที่จะขาดทุนเพิ่มนั่นเอง
  • ควบคุมอารมณ์ อารมณ์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความโลภหรือ ความกลัวเราจึงควรควบคุมอารมณ์ให้ดี ไม่ควรให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเพราะว่าถ้าหากควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็จะมีโอกาสขาดทุนสูงด้วยเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่นเมื่อเราขาดทุนเราจะรู้สึกอยากได้ทุนคืนเราจึงเพิ่มเงินที่เทรดมากขึ้น ซึ่งบางครั้งเมื่อกราฟไปผิดทางก็จะทำให้เรานั้นเสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุ หรือเมื่อเราได้กำไรแต่เราก็อยากได้กำไรเพิ่มอีกสุดท้ายก็ไม่มีเป้าหมายการทำกำไรที่ชัดเจน ดังนั้นทุกอย่างจะต้องชัดเจนและทำตามแผนเสมอในตลาดการซื้อขายสัญญาณล่วงหน้า
  • พาตัวเองออกจากตลาด ถ้าหากว่าได้กำไรตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วหรือว่าขาดทุนเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ควรนำตัวเองออกจากตลาดให้เร็วมากที่สุด เพื่อไม่ให้อารมณ์ เข้ามาควบคุมตัวเราไม่ว่าจะเป็นความโลภหรือความกลัว เมื่อออกจากตลาดให้ใช้เวลาในการวางแผนการเทรดรอบต่อไปและทำตามแผนที่วางไว้เสมอ

ภาพจาก Pixabay

สุดท้ายก็ต้องขอเตือนว่าคนที่จะเข้ามาอยู่ในตลาดการซื้อขายสัญญาณล่วงหน้านี้ได้นั้นจะต้องมีประสบการณ์ในการเทรด ที่ดีและสามารถวิเคราะห์กราฟในเบื้องต้นรู้จักการใช้เครื่องมือต่าง ๆ และสำหรับคนรับความเสี่ยงสูงไม่ได้ตลาดนี้อาจจะไม่เหมาะกับเพื่อน ๆ ก็เป็นได้

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

 หนึ่งเคล็ดลับทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

หนึ่งเคล็ดลับทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ1

       ครั้งนี้ โค้ชแบงค์ สุภกฤษ กุลชาติวิจิตร หนึ่งในกูรูแห่งการขายจะมาแนะนำ  หนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จ ไปดูกันว่า เคล็บลับที่โค้ช แบงค์ เอามาแนะนำนั้นคืออะไร

          ถ้าคุณอยากสำเร็จทางธุรกิจในโลกออนไลน์ คุณต้อง ทำสวนทางกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกัน นั่นก็คือคนส่วนใหญ่ไปทางซ้าย คุณต้องไปทางขวา คนส่วนใหญ่ไป A คุณต้องไป B  นั่นหมายถึงคือการสร้างการทำความแปลกความแตกต่าง  เพราะสิ่งที่จะตรึงตรา ตรึงใจคน ถ้ามันเหมือนๆกัน

เค้าก็ไม่ดูคุณ เค้าไปดูคนอื่นก็ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องทำอะไรที่มันแปลก คุณสังเกตเห็นไหมว่า เมื่อก่อนการขายต้องพูดจาเพราะ แต่พอมีคนหนึ่งที่ขายแล้วพูดหยาบ ขายไปด่าไป ปรากฏว่าคนติดตามดูสินค้าและซื้อ  การขายปกติแต่งชุดธรรมดาขาย แต่พอมีคนหนึ่งแต่งชุดเซ็กซี่ขายก็ดัง หรือบางคนแต่งชุดไทยมาขายก็ดัง การขายบางคนต้องแต่งหน้าสวย บางคนแต่งหน้าเป็นแมวดัง การขายขนมโดนัทตรงไฟแดงส่วนใหญ่แต่งชุดธรรมดา พอมีคนแต่งชุดซุปเปอร์แมนมาขายก็ดัง คนส่วนใหญ่นั่งขายแบบธรรมดา

แต่บางคนขายไปเต้นไปก็ดัง ดังนั้นอะไรก็ตามที่ทำแล้วสวนทางกับคนทั่วไป มักจะดัง เพราะคนจะสนใจสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เค้าเห็นในชีวิตประจำวัน นี่คือเคล็ดลับของการทำตลาดออนไลน์ ดังนั้นเมื่อคุณทำตลาดออนไลน์ หน้าที่ของคุณคือคุณต้องแย่งตาของคนดู แย่งตาของลูกค้า  แย่งเวลาของคนดูแย่งเวลาของลูกค้า ดังนั้นการแย่งตาแย่งเวลา ก็ต้องเสนอความแปลกแตกต่าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ อะไรที่มันเหมือนกันอะไรที่มันทั่วๆไปเค้าก็ไม่สะดุดตา ไม่สนใจ  อย่างคุณขึ้นรถไฟฟ้า หรือ ขึ้นรถเมล์ก็ตาม

ใครที่แต่งตัวธรรมดาๆ ทั่วไป คุณก็เฉยๆ แต่ถ้ามีคนหนึ่งแต่งชุดไทยขึ้นมาคุณก็จะมองเพราะ มันแปลก  นั่นคืออะไรก็ตามที่มันแปลกคนจะมอง ซึ่งสงครามของการตลาดออนไลน์คือสงครามของการแย่งสายตา แย่งเวลา ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือทำสวนทางกับคนส่วนใหญ่ทำ คุณก็จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นไปคิดมาว่า คุณจะหาวิธีไหน จะต้องแบบไหนที่คนส่วนใหญ่เค้าไม่ทำกัน หาความแตกต่าง สร้างความแปลกจากคนทั่วๆไป คนที่เป็นคู่แข่งของคุณ แล้วสร้างความแปลกที่สะดุดตา เป็นเอกลักษณ์ให้สามารถแย่งสายตาของคนมาให้ได้ ถ้าคุณทำได้คุณก็จะชนะในสงครามของการแย่งสายตาของการทำธุรกิจในตลาดออนไลน์ คิดแล้วลงมือสร้างความแปลก เพื่อความสำเร็จกันได้เลย

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook