ฝ่าฝืนป้ายจราจร Tesla เรียกคืนรถ

Tesla

ฝ่าฝืนป้ายจราจร Tesla เรียกคืนรถกว่า 54,000 คัน

บริษัทเทสล่าได้เผชิญหน้ากับปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีของรถยนต์อีกครั้งหลังจากที่มีรถยนต์หลายคันพยายามที่จะฝ่าฝืนป้ายจราจรโดยการขับผ่านป้าย “หยุด” โดยหลังเกิดปัญหานี้ทาง Tesla ก็ได้มีการเรียกคืนรถยนต์กลับเข้าศูนย์มากถึง 54,000 คัน เพื่อแก้ไขปัญหาระบบเทคโนโลยีให้ทำงานได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นโดยรถยนต์ที่ถูกเรียกกลับเข้าศูนย์ได้แก่ Model S sedans and X SUVs ที่ใช้งานตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2020, Model 3 sedans ที่ใช้งานตั้งแต่ 2017-2020 และ Model Y SUVs ที่ใช้งานตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน

การเรียกคืนรถยนต์คราวนี้เพื่อแก้ไขระบบที่มีชื่อว่า “ Rolling Stop” ระบบรถยนต์ที่จะมีการขับเคลื่อนอย่างช้า ๆ ถ้าหากว่ามีการตรวจสอบว่าถ่ายหน้ารถยนต์ไม่มีคนหรือว่าไม่มีรถอยู่ซึ่งนั่นรวมถึงป้ายจราจรด้วยโดยรถยนต์ที่ใช้ฟีเจอร์นี้จะมีการขับเคลื่อนด้วยอัตราความเร็วต่ำกว่า 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

Rolling Stop เป็นระบบที่ถูกพัฒนาออกมาให้ใช้งานตั้งแต่ในช่วงเดือนตุลาคมปี 2020 ซึ่งยังอยู่ในช่วงเวอร์ชันเบต้าอยู่ โดยปัญหาที่ค้นพบในระบบนี้ก็คือมีรถยนต์ Tesla ที่ใช้ระบบนี้มีการฝ่าฝืนกฎจราจรโดยการขับเคลื่อนอย่างช้า ๆ ผ่านป้ายหยุดนั่นเอง

ทาง the National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ได้มีการประชุมกับบริษัท Tesla เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว และได้มีการสั่งให้เทสล่ายกเลิกการใช้ระบบการขับเคลื่อนแบบ Rolling Stop ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เกิดอุบัติเหตุก็ตามที พร้อมกับมีการชี้แจงว่าการที่รถยนต์ฝ่าฝืนกฎจราจรหรือว่าป้าย “หยุด” ถึงแม้ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่ต่ำก็ตามแต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และในเรื่องของความปลอดภัยยังขอให้ Tesla อย่าทำการทดสอบระบบต่าง ๆ กับผู้ที่ยังไม่มีความชำนาญในด้านการขับรถเพราะว่าระบบอาจจะทำงานผิดพลาดได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับคนเดินเท้าผู้คนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้นั่นเอง

ถึงแม้ว่ารถยนต์ของ Tesla จะมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากมายและได้หลายคนอยากจับจองเป็นเจ้าของแต่ว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้การขับขี่รถยนต์ปลอดภัยมากขึ้นเลยถึงแม้ว่าจะมีระบบการขับขี่อัตโนมัติแต่ว่าก็เคยมีข่าวคราวว่าระบบดังกล่าวได้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ถ้าหากว่าผู้ขับขี่ไม่ได้มีสติขณะขับรถหรือที่ผ่านมาล่าสุดก็คือมีการอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถเล่นเกมขณะขับรถได้ซึ่งมันก็เป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้กับผู้ขับรถยนต์สามารถเล่นเกมขณะที่ขับขี่ได้ด้วยเช่นเดียวกันซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอันตรายมากบนท้องถนนที่มีรถยนต์เพื่อนอยู่ตลอดเวลา ในทีนี้ก็ต้องมาดูว่าทางบริษัท Tesla จะมีการแก้ไขปัญหาเทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในรถยนต์อย่างไรเพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้คนที่อยู่บนท้องถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Guardian 

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ GUรู็ การเงิน 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Crypto.com โดนแฮก

Crypto.com

Crypto.com โดนแฮกสูญเสียเงินกว่า 15 ล้านเหรียญ 

เรียกว่าปีนี้ดูเหมือนจะสลับขั้วกับปีที่แล้วเลยสำหรับเรื่องคริปโตเคอเรนซี่หรือเงินดิจิตอลที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากไปทั่วโลกในปีที่แล้วโตอยู่ในช่วงขาขึ้นและดึงดูดคนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากซึ่งมาหลายคนก็เติบโตขึ้นและสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ แต่นี้ปีนี้คริปโตยังอยู่ในช่วงขาลงและยังไม่มีทีท่าที่จะกลับตัวขึ้นโดยเฉพาะ Bitcoin ซึ่งเป็นเหรียญใหญ่ที่สุดในตลาด ทำให้นักลงทุนรู้สึกหวาดผวากันมากเลยทีเดียว หนำซ้ำยังมาถูกแฮกเกอร์โจรกรรมอีก โดยล่าสุดได้เกิดกับเว็บไซต์ Crypto.com ซึ่งเป็น Exchange หรือกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี่ และเป็นรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

Crypto.com ได้มีการประกาศว่า Exchange ถูกแฮกเมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมาซึ่งสูญเสียมูลค่าไปกว่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐโดยเงินส่วนใหญ่ที่ถูกโอนออกไปโดยแฮกเกอร์นั้นจะเป็นเงินสกุล Ethereum โดยก่อนที่ทาง Exchange จะมีการทวิตออกมาว่าถูกแฮกนั้นผู้ใช้งานบางส่วนก็ได้มีการรายงานว่าเงินทุนของตัวเองบางส่วนได้หายไปถึงแม้ว่า Crypto.com จะมีระบบเข้ารหัส 2 ชั้นหรือที่เรารู้จักในชื่อของ 2FA ก็ตามที หลังจากที่ Crypto.com ถูกแฮกเกอร์โจมตีก็ได้มีการปิดระบบการถอนเงินโดยทันทีเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม 

โดยรายละเอียดการโอนเงินนั้นได้ถูกเปิดเผยโดย PeckShield บริษัทรักษาความปลอดภัยบล็อกเชน เงินจำนวนหนึ่งที่ถูกโอนไปยังที่อยู่ของผู้โจมตีนั้นเป็น Ethereum จำนวนกว่า 4600 Ethereum  เลยทีเดียว โดยเป็นการส่งผ่าน Tornado Cash ซึ่งเป็น Ethereum privacy protocol 

หลังจากนี้ก็ต้องมาติดตามดูว่า Crypto.com จะให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างไรแต่ทาง Exchange เองก็ได้ออกมาบอกกับผู้ใช้งานว่าเงินทุนที่ผู้ใช้งานนำมาเก็บไว้กับ  Exchange จะปลอดภัยอย่างแน่นอน และทางบริษัทก็กำลังตรวจสอบและค้นหาหลักฐานต่างๆอยู่และจะมีการเปิดเผยรายละเอียดมาในอนาคตและที่สำคัญมากที่สุดจะมีการเพิ่มระบบความปลอดภัยให้กับ Exchange เพื่อป้องกันที่จะไม่ให้ถูกแท็กอีกด้วยเช่นเดียวกัน 

แต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อ Exchange ถูกแล้วความไว้วางใจของผู้ใช้งานต้องลดลงอย่างแน่นอนและอาจจะทำให้ผู้ใช้งานหนีออกจากฉันใช้ Crypto.com ก็เป็นได้และไปหากระดานเทรดอื่นที่มีความปลอดภัยมากกว่านี้และไม่แน่ผู้ใช้งานบางส่วนอาจจะเก็บเงินดิจิตอลนี้เป็นของตัวเองโดยการโอนออกไปใส่ไว้ใน Hardware wallet เลยก็เป็นได้ด้วยคำพูดสุดฮิตในโลกคริปโตก็คือ “Not your keys? Not your coins” ซึ่งมันหมายความว่าเงินที่อยู่กับ Exchange ที่เราใช้งานนั้นไม่ใช่เงินของเราแต่เป็นเงินของ Exchange ดังนั้นการเก็บเงินไว้กับตัวเองโดยการนำมาใส่ใน Hardware wallet หรือกระเป๋าอย่าง Metamask ก็อาจจะเป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะลดการสูญเสียจาก Exchange ได้ 

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก PCGamer

ความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ ข่าวทันโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook