PayPal เปิดตัว Stablecoin PYUSD

PayPal เปิดตัว Stablecoin PYUSD

บริษัท PayPal ยักษ์ใหญ่ทางด้านการเงินกระโดดเข้าสู่วงการคริปโตเตรียมสร้างเหรียญ Stablecoin ที่มีชื่อว่า PYUSD เมื่อพูดถึงคริปโตเคอเรนซี่ จะมีเหรียญประเภทหนึ่งชื่อว่า Stablecoin โดยเหรียญประเภทนี้จะไม่มีความผันผวนเนื่องจากจะมีการผูกค่าเงินด้วยทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นเงิน US Dollar หรือพันธบัตรรัฐบาล Stablecoin จึงนิยมใช้มาเป็นคู่เทรดของเหรียญคริปโตตัวอย่างเช่น USDT, USDC หรือ BUSD

ภาพ wallpapers.com

PYUSD ก็คือหนึ่งใน stablecoin ที่จะผูกมือค่าเงินกับ USD และอยู่บนเชนของ Ethereum โดยเหรียญ PYUSD จะได้รับการออกโดยบริษัท Paxos ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ออกเหรียญ BUSD ให้กับ Binance ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ PayPal เข้ามา ในวงการคริปโต ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการสร้าง PayPal Network เพื่อไว้แลกเปลี่ยนเหรียญ BTC, BCH, LTC และ ETH การที่บริษัท PayPal เข้ามาทำเหรียญ PYUSD มีแนวโน้มที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เข้ามาศึกษาคริปโตเคอเรนซี่มากยิ่งขึ้น เพราะว่าบริษัท PayPal อยู่ในแวดวงของการเงินมานานและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดไว้ในตัวอื่น ๆ ได้อีกด้วย และการใช้ Ethereum Chain ก็อาจจะทำให้มีคนสนใจใน ETH

มากขึ้นและอาจจะเป็นสินทรัพย์ที่มีการเติบโตในอนาคต แต่เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย การที่PayPal เข้ามาทำแบบนี้ เป็นการเข้ามาแบบรวมศูนย์มากๆ และมีความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้งานจะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปเนื่องจาก PayPal สามารถควบคุมและดูแลบัญชีของผู้ใช้งานได้นั่นเอง ซึ่งมันเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับคริปโตเคอเรนซี่ที่ต้องการความกระจายศูนย์ และในการควบคุมความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินเหล่าที่เป็นผู้ใช้งานก็จำเป็นที่จะต้องเชื่อใจบริษัทที่มีการออกเหรียญนั้นๆ ตัวอย่างเช่น PYUSD ของ PayPal เราก็จำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นว่าเขานั้นมีการผูกค่าเงิน 1:1 และไม่ได้มีการโกงลูกค้า ดังนั้นแล้วในแง่มุมของ Stablecoin มันมีความรวมศูนย์อยู่ในตัว

ตอนนี้ PYUSD ยังคงใช้ประโยชน์ได้แค่เพียงการแลกเปลี่ยนกับเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใน PayPal Network เท่านั้น ยังไม่มีประโยชน์ด้านอื่น ๆ

การกำกับดูแลเหรียญ Stablecoin

ภาพ Pexels/David McBee

อย่างที่รับรู้กันว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ต้องการกำกับคริปโตเคอเรนซี่ และมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรดังนั้น Stablecoin ก็ต้องถูกกำกับดูแลด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนนี้ทางประธาน FED คุณ Jerome Powell ได้บอกว่าทาง FED ออกโรงที่จะกำกับดูแลด้วยตัวเอง โดยธนาคารที่มีการถือเหรียญ, ออกเหรียญ, หรือโอนเหรียญประเภท Stablecoin จำเป็นที่จะต้องรายงานให้แบงค์ชาติรับรู้ ซึ่งการที่ FED ออกมาบอกแบบนี้ก็หมายความว่าทางแบงก์ชาติจะดูแล Stablecoin ในตลาดคริปโต ซึ่งมันอาจจะทำให้ SEC ไม่มีอำนาจในส่วนนี้ไปนั่นเอง อย่างไรก็ตามเราคงต้องดูท่าทีของ Gary Gensler ว่าจะมีท่าทีกับ PYUSD และเหรียญ Stablecoin เหรียญอื่น ๆ อย่างไร

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มเดินเครื่องขยายธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่โดนฟ้องร้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา Binance ก็เริ่มเบนเป้าไปที่ประเทศอื่นหนึ่งในนั้นก็คือเมืองดูไบของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยทางบริษัทได้ใบอนุญาตชั่วคราวเมื่อเดือนกันยายนปี 2022 และได้รับ ใบอนุญาต MVP (Minimal Viable Product) จาก Virtual Assets Regulatory Authority (VARA) ของดูไบ เมื่อปีที่ผ่านมา โดยใบอนุญาตดังกล่าวทำให้ Binance จะสามารถเปิดบัญชีธนาคารในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พร้อมกับดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่

ภาพ Pexels/Ivan Siarbolin

การดำเนินการเพื่อเปิดธุรกิจเมืองดูไบ Binance ผ่านมา 1 ใน 3 แล้วเหลือเพียงแค่ใบอนุญาตเดียวก็คือ FMP (Full Market Product) ถ้าบริษัทไม่ได้ทำผิดกฎใด ๆ ก็น่าจะได้รับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และ Binance ก็จะสามารถลงหลักปักฐานที่เมืองดูไบได้อย่างไม่ต้องกังวล หลังจากที่บริษัทพยายามจะเจาะตลาดในทวีปยุโรปแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาต

Binance เปิดสาขาญี่ปุ่น

ภาพ Pexels/Arkkrapol Anantachote

นอกจาก Binance จะประกาศชัยชนะที่เมืองดูไบแล้ว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา Binance ก็ได้มีการประกาศเปิดสาขาญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และได้กลายเป็น Exchange คริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่เมื่อ 2 ปีก่อน Binance พยายามที่จะเจาะตลาดของประเทศญี่ปุ่นแต่ก็ได้รับคำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแลในญี่ปุ่น เนื่องจากไม่ทำตามกฎระเบียบที่วางไว้ แต่ Binance ก็พยายามเจาะตลาดญี่ปุ่นอีกครั้งโดยการเข้าซื้อ Sakura Exchange BitCoin และเปลี่ยนเป็น Binance Japan

Binance Japan ได้มีการลิสต์เหรียญให้นักลงทุนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนการจำนวน 34 เหรียญ โดยจะมีเหรียญหลัก ๆ อย่าง Bitcoin, ETH, ADA, BNB, Doge และอื่น ๆ

การที่Binance สามารถที่จะเข้าถึงตลาดแห่งใหม่ได้นั้นทำให้พวกเขาไม่ต้องรับแรงกดดันจากการตรวจสอบของประเทศสหรัฐอเมริกามากเกินไป การตั้งหลักปักฐานในประเทศที่เป็นมิตรกับคริปโตเคอเรนซี่คงเป็นเรื่องที่ดีต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต และป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อบริษัทได้ในระยะยาว

ข้อมูลจาก สยามบล็อกเชน : Binance เตรียมลุยดินแดนสุลต่าน! หลังได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการใน “ดูไบ”

สยามบล็อกเชน : Binance ประกาศเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ พร้อมมีให้เทรดถึง 34 เหรียญ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Stable Coin คืออะไร เหตุใดจึงสำคัญ

Stable Coin คืออะไร เหตุใดจึงสำคัญ

ในช่วงปลายปีอย่างนี้ตลาดคริปโตเคอเรนซี่หรือเงินดิจิตอลก็กลับมาเป็นกระแสดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่อีกครั้งหลังจากที่เคยเป็นที่นิยมและเป็นที่ถูกพูดถึงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับตลาดในประเทศไทยเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้นทำให้ กระแสในคริปโตประเทศไทยบูมมากขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว มีคนจำนวนมากมายที่ได้กำไรจากการที่ราคาเหรียญพุ่งขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าต้นเดือนธันวาคมนี้ จะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่หรือคนที่เพิ่งเข้ามาในวงการเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมราคาของ Bitcoin ลดลงมาถึงราคาเกือบถึง 1,600,000 บาท ทำให้ราคาเหรียญอื่นๆ ลดลงตามมาและนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้าซื้อที่ราคาแพงสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก และด้วยกาแฟที่ได้รับความนิยมเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนทำให้มีคนหลายคนกู้เงินออกมาเล่นเพื่อหวังผลกำไรแต่แล้วก็ต้องสูญเสียเงินไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ด้วยความผันผวนของตลาดทำให้เราจำเป็นที่จะต้องรู้จัก Stable Coin

ภาพจาก Pixabay

Stable Coin เป็นเงินดิจิตอลประเภทหนึ่งที่ราคาไม่มีความผันผวน เพราะว่าเป็นเหลี่ยมที่มีเงินดอลล่าค้ำอยู่ทำให้ราคาเหรียญจะเท่ากับเงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐนั้นเอง ซึ่งเป็นเหรียญที่เหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่เป็นอย่างมากเลยทีเดียวเพราะว่ามีความเสี่ยงต่ำเป็นอย่างมาก และตาม Exchange ต่าง ๆ ของต่างประเทศก็ใช้ Stable Coin ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลสกุลอื่น ๆ ด้วย

ภาพจาก Pixabay

ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ไม่มีความผันผวนทำให้เหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่ชอบความเสี่ยงแต่อยากลงทุนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งกว่าจะได้กำไรไม่เยอะในช่วงที่ราคาขึ้นแต่อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนเยอะเช่นกันในช่วงที่ราคาตลาดเป็นขาลง นอกจากนี้ในช่วงที่เหรียญอื่น ๆ ในตลาดมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรง Stable Coin

สามารถใช้ในประคองพอร์ตของเราไม่ให้ขาดทุนได้ดีมากเลยทีเดียว แถมให้ช่วงที่ราคาของเหรียญในตลาดเป็นขาลง นักลงทุนหลาย ๆ คนใช้ Stable Coin ในการพักเหรียญเพื่อรอเวลาที่ตลาดจะกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ทำให้มีโอกาสที่เรียก Stable Coin จะมีราคาพุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดเป็นขาลง ตัวอย่างเช่นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงที่ Bitcoin มีราคาลดลง เหรียญ USDT ซึ่งเป็นเหรียญ Stable Coin มีราคาสูงขึ้นจาก 34 บาทเป็น 36 บาทเลยทีเดียว

ภาพจาก Pixabay

นอกจากมีเรื่องของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญต่างๆ ในตลาดแล้ว Stable Coin ยังใช้เป็นเหรียญในการลดความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม DeFi อีกด้วย เพราะเป็นเหรียญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในเรื่อง impermanent loss ได้ดีอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับเหรียญ Stable Coin ที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้ก็คือ USDT, USDC, BUSD และ DAI

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก  
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของลูกค้า FTX และ Celcius

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของลูกค้า FTX และ Celcius

ในปี 2022 ที่ผ่านมาเป็นปีที่เลวร้ายสำหรับตลาดคริปโตเคอเรนซี่นอกจากตลาดหมีที่ทำให้ราคาของเหรียญลดลงแล้ว ยังทำให้เราได้เห็นการล่มสลายของศูนย์ซื้อขายรายใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น FTX หรือว่า Celcius ทำให้ลูกค้าที่ใช้บริการ 2 แพลตฟอร์มดังกล่าวนี้สูญเสียเงินไปไม่มากก็น้อย จนถึงตอนนี้คดีความยังอยู่ในชั้นศาลแต่ก็มีแนวโน้มที่ดีมากยิ่งขึ้น และทำให้ลูกค้าที่เป็นผู้เสียหายเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่จะได้เงินคืนมากขึ้น

ภาพ cryptologos.cc

FTX สามารถกู้คืนทรัพย์สินมาได้กว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากการประมาณมูลค่าของทรัพย์สินที่ถูก FTX ยักยอกไปอยู่ที่ประมาณ 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินเฟียตและเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ประเภท Stable Coin ซึ่งสาเหตุเกิดจากการที่ไม่ได้แยกเงินของลูกค้ากับเงินของบริษัทนั่นเอง โดย Sam Bankman-Fried อดีต CEO ได้นำเงินที่ยักยอกไปนี้ใช้ในเรื่องส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเพื่อการกุศลหรือนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวอีกด้วย

แต่เมื่อขึ้นศาล FTX ก็ได้เปลี่ยนมือไปอยู่ในการดูแล John Ray III และเริ่มมีแนวโน้มที่ดีต่อนักลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้มีการประกาศออกมาแล้วว่าสามารถกู้คืนทรัพย์สินได้มูลค่ากว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการกู้คืนเงินได้เกือบเต็มจำนวนที่ถูกยักยอกไปเลยทีเดียว ทำให้เรื่องนี้นั้นเป็นความหวังให้นักลงทุนที่เสียหายกับ Exchange นี้เริ่มมีความหวังที่จะได้เงินบางส่วนกลับคืนมา

ภาพ cryptologos.cc

Farenheit ชนะประมูลเข้าอุ้ม Celcius

Celcius เป็นที่ Exchange คริปโตเคอเรนซี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อย่าง Staking เพราะว่าให้ผลตอบแทนสูง แต่เมื่อตลาดคริปโตเป็นขาลงกลายเป็นว่าบริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินจนถึงขั้นต้องยื่น Chapter 11 ซึ่งการประกาศล้มละลายเมื่อปีที่ผ่านมาก็สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนที่นำเงินไปฝากเพื่อกินดอกเบี้ยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่ได้มีการยื่นล้มละลายก็ได้มีการตั้งกลุ่มคณะกรรมการเจ้าหนี้ รวมถึงหาผู้เข้ามาประมูลเพื่อดูแลบริหารเงินก้อนที่ยังคงเหลืออยู่ในบริษัท Celcius

ท้ายที่สุดก็ได้เป็น Farenheit ชนะการประมูล และจะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลบริหารทรัพย์สินคงเหลือ โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาและมีกลุ่มคณะกรรมการเจ้าหนี้ของ Celsius เป็นเจ้าของบริษัท โดยบริษัท Farenheit จะได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียม

การที่คดีความของ 2 Exchange ยักษ์ใหญ่มีความคืบหน้าทำให้นักลงทุนที่เสียหายน่าจะเบาใจลงได้ไม่มากก็น้อยถึงแม้ว่าในอนาคตอาจจะไม่ได้เงินคืน 100% แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้เงินคืนบางส่วนเช่นเดียวกันโดยคนไทยอาจจะต้องตามข่าวของ Celcius เป็นหลักเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับ Zipmex  ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทย

ข้อมูลจาก Siamblockchain , Bussinesswire

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Regulatory Risk ความเสี่ยงที่นักลงทุนคริปโตต้องระวัง

Regulatory Risk ความเสี่ยงที่นักลงทุนคริปโตต้องระวัง

สำหรับคนที่ลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ ก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตลาดนี้มีความเสี่ยงในการลงทุนมากเพียงไหน ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ผันผวน การเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน โปรเจคฉ้อโกง รวมไปถึงความมั่นคงของ Exchange และความนิยมที่มาไวไปไว สำหรับใครที่อยู่ในตลาดคริปโตตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาคงจะได้ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเสี่ยงทั้งหมดที่ตลาดคริปโตจะได้รับ ในปีนี้นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลจะต้องเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่มีชื่อว่า “Regulatory Risk

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

Regulatory Risk เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐบาล เมื่อหน่วยงานรัฐบาลที่ต้องคอยกำกับดูแลตลาดการลงทุน เห็นว่าตลาดคริปโตเคอเรนซี่นั้นมีอิสระมากเกินไป กฎเกณฑ์ข้อบังคับยังไม่ครอบคลุม และยังมีการทำผิดกฎหมายอยู่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อนักลงทุน จึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาดูแลเพื่อความปลอดภัยของนักลงทุน เราเห็นเรื่องนี้ได้ชัดจาก ก.ล.ต ของประเทศสหรัฐอเมริกา

ก.ล.ต สหรัฐที่นำโดย Gary Gensler มักจะพูดถึงการลงทะเบียนหลักทรัพย์ขอคริปโตอยู่เสมอโดยเจ้าตัวนั้นอ้างว่าเหรียญหลายเหรียญในตลาดคริปโตเป็นหลักทรัพย์ตัวอย่างเช่น XRP, ADA, SOL, MATIC , SAND, AXS และ NEAR และกำลังทำผิดกฎเนื่องจากไม่มีการมาลงทะเบียนกับก.ล.ต แต่ทางฟากฝั่งของผู้พัฒนาเหรียญก็ได้ออกมาพูดเช่นกันว่าเหรียญที่เขาพัฒนาขึ้นมาเป็นสินค้าไม่จำเป็นที่จะต้องไปลงทะเบียน ทำให้เป็นคดีขึ้นมากลายเป็น Regulatory Risk ที่นักลงทุนไม่อาจเลี่ยงได้ โดยคดีที่กำลังฟ้องร้องอยู่และต้องจับตามองก็คือคดีของ XRP

ภาพ Pixabay/vjkombajn

XRP เป็นเหรียญที่ถูกฟ้องร้องเมื่อปี 2020 ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงการพิจารณาคดีก่อนจะตัดสินว่าแท้จริงแล้ว XRP เป็น Commodity (สินค้า) หรือ Security (หลักทรัพย์) และผลของคำตัดสินที่ออกมานั้นจะส่งผลไปเหรียญต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือราคา ทำให้กลายเป็น Regulatory Risk ที่นักลงทุนต้องระวังให้ดีง ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดคริปโตจะต้องคอยจับตาดูข่าวการตัดสินของ XRP ให้ดีเพราะมันจะส่งผลต่อเหรียญอื่น ๆ ในตลาดอย่างแน่นอน ทำให้มันกลายเป็น และอาจจะเป็นการตัดสินด้วยว่าสุดท้ายแล้วตลาดคริปโตเคอเรนซี่อยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานใดระหว่าง CFTC กับ SEC ในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนนักลงทุนก็ต้องปรับความเสี่ยงและปรับพอร์ตการลงทุนให้ดีเพื่อรองรับกับผลที่จะเกิดขึ้น

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Binance โดนฟ้อง วงการคริปโตอาจมีภัย

Binance โดนฟ้อง วงการคริปโตอาจมีภัย

Binance ศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดของโลกโดน ก.ล.ต.สหรัฐสั่งฟ้อง กลายเป็นข่าวใหญ่ประจำเดือนมิถุนายนพร้อมกับพาตลาดคริปโตกลายเป็นนรกเลยก็ว่าได้

สำหรับ Binance ที่เป็นรายใหญ่ในวงการคริปโต การถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้และเป็นมาเสมอตั้งแต่ตลาดคริปโตเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ก่อนหน้านี้ทาง ก.ล.ต.สหรัฐก็ได้เข้าไปกำกับดูแลบริษัท Paxos บริษัทที่ดูแลเหรียญ BUSD ให้กับ Binance จนทำให้เหรียญ BUSD ร่มกันเลยทีเดียว แต่การสั่งฟ้องคราวนี้รุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาโดย Gary Gensler ประธาน ก.ล.ต.ของประเทศสหรัฐได้มีการฟ้อง Binance ถึง 13 ข้อหารวมทั้งสิ้นจำนวนหน้าทั้งหมด 136 หน้า ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ถึงตลาดคริปโตเลยก็เป็นได้ โดยสามารถแบ่งเป็นหัวข้อหลักได้ดังนี้

  • มีการใช้ทุนของลูกค้าที่ไม่ชอบมาพากล
  • มีโฆษณาชวนเชื่อที่ชี้นำไปในทางที่ผิด
  • ทำผิดกฎหลักทรัพย์
  • ล้มเหลวในการจำกัดลูกค้าชาวอเมริกัน

นอกจากการฟ้อง Binance ก็ยังมีการสั่งฟ้อง CZ ผู้ที่เป็น CEO ของบริษัทด้วยและยังได้มีการกล่าวถึง Binance.US ในการสั่งฟ้องครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีการกล่าวว่า Binance.US มีความเชื่อมโยงกับ Binance Global โดยทางก.ล.ต.สหรัฐ ก็มีหลักฐานที่ชี้ว่าทั้ง 2 บริษัทนั้นมีความเชื่อมโยงกันผ่านบริษัทที่มีชื่อว่า BAM Management US Holding Inc. ซึ่งมันต่างจากที่ CZ และทาง Binance Global ออกมาบอกก่อนหน้านี้ว่าทั้งสองบริษัทไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันและเป็นอิสระต่อกัน

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

ก.ล.ต.สหรัฐ มีความลำเอียงในการกำกับดูแล

ถึงแม้ว่าทาง Gary Gensler จะออกมาบอกว่าการกระทำครั้งนี้ก็เพื่อดูแลนักลงทุนไม่ให้พบกับความเสี่ยงในการลงทุนบนโลกคริปโตเคอเรนซี่ แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับชาวเน็ตและนักลงทุนบางส่วนด้วยเช่นเดียวกัน เพราะคนบางกลุ่มก็มองว่ามันคือความลำเอียงของ ก.ล.ต.สหรัฐ ที่มีการกำกับดูแลแต่ละ Exchange ด้วยมาตรฐานที่แตกต่างกัน Gary Gensler มักจะมุ่งเป้าไปที่ Binance แต่กับ FTX ที่ล่มไปก่อนหน้านี้กับไม่มีการพูดถึงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งถ้าดูจากข้อหาที่ฟ้องร้อง Binance ก็สามารถเอาไปฟ้องร้อง FTX ในอดีตที่ Sam Bankman-Fried เป็นเจ้าของได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ด้วย Gary Gensler มีความสัมพันธ์กับ Sam Bankman-Fried ทำให้เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องการล่มสลายของ FTX เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้นักลงทุนและชาวเน็ตเริ่มไม่พอใจกับการกำกับดูแลของ ก.ล.ต.สหรัฐที่ไร้มาตรฐาน รวมถึงนายทุนส่วนใหญ่ก็เริ่มย้ายออกจากประเทศสหรัฐเพื่อหาช่องทางลงทุนในประเทศอื่น ๆ

ภาพ Pexels/David McBee

ผลที่ตามมาจากการสั่งฟ้อง Binance

การสั่งฟ้อง Binance อาจจะทำให้เกิด Freeze Asset จะทำให้บริษัทและ CZ ไม่สามารถโยกย้ายทรัพย์สินได้นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะทำได้กับเงิน Fiat แต่ในมุมของเงินดิจิตอลแล้วยังคงต้องใช้เวลา ซึ่งในส่วนนี้อาจจะทำให้เงินทุนของลูกค้าถูกแช่แข็งไปด้วย ทำให้อาจจะไม่สามารถโอนเงินเข้าออกได้จากโบรกเกอร์ได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อข่าวเริ่มแพร่กระจายสู่โลกออนไลน์นักลงทุนส่วนใหญ่ก็เริ่มจะมีการถอนเงินออกจาก Exchange โดยผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็มีเงินไหลออกกว่า 2.6% ของเงินทุนสำรองทั้งหมดของ Binance ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มมีความไม่ไว้ใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและคงจะมีแรงถอนจนกว่าคลื่นลมจะสงบลง

ตลาดทุนคริปโตเคอเรนซี่ก็ปรับตัวลงมาอย่างรุนแรงเหรียญอย่าง Bitcoin ร่วงลงมามากกว่า 5% และ Ethereum ก็ปรับตัวลงมาถึง 4% ด้วยกัน จากการปรับตัวลงของ 2 เหรียญใหญ่ทำให้เหรียญเล็กอื่นๆ ก็ปรับตัวลงเช่นเดียวกันเรียกได้ว่าตลาดแดงต้อนรับข่าวร้ายกันเลยทีเดียว

จากข่าวใหญ่ในคราวนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเงินทุนส่วนใหญ่ที่ออกจาก Binance จะไหลไปสู่ Exchange อันดับ 2 และอันดับที่รองลงมาและได้การกำกับดูแลจากประเทศที่เป็นมิตรต่อคริปโตไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์หรือฮ่องกง

เมื่อมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในโลกของการลงทุน นักลงทุนอย่างเราก็ควรที่จะดูแลพอร์ตการลงทุนของตัวเองให้ดี Binance ก็เป็นอีกส่วนซื้อขายหนึ่งที่มีคนไทยใช้งานเป็นจำนวนมากถ้าหากใครเริ่มรู้สึกถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นก็สามารถโอนเงินเข้าไปเก็บไว้ใน Hardware wallet หรือ Exchange เจ้าอื่นก่อนก็ได้เช่นเดียวกัน จนกว่าผลกระทบจากคลื่นลูกนี้จะหมดไปหรือเบาบางลง

ข้อมูลจาก The Standard , Bloomberg

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ประเทศสหรัฐเตรียมออกกฎเกณฑ์ดูแลเงินดิจิตอล

ประเทศสหรัฐเตรียมออกกฎเกณฑ์ดูแลเงินดิจิตอล

ขณะที่เงินดิจิตอลหรือคริปโตเคอเรนซี่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นรัฐบาลหลายๆ ประเทศก็กำลังหาทางออกเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อจะใช้ในการควบคุมและกำกับดูแลเงินดิจิตอลแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ในหลายประเทศยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะมีการพูดถึงบ้างในหลาย ๆ ประเทศแต่ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง

ภาพจาก Pixabay

ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผู้คนจำนวนมากรวมไปถึงมหาเศรษฐีหลายรายสนใจในคริปโตเคอเรนซี่ บางรัฐก็มีการสนับสนุนอย่างเป็นจริงเป็นจังเลยทีเดียว แต่ว่าตอนนี้ในประเทศอเมริกาก็ยังไม่มีกฎหมายออกมาเพื่อควบคุมดูแลเช่นกัน สำนักงานบัญชีกลางสกุลเงิน (Office of the Comptroller of the Currency) และหน่วยงานที่ให้การประกันเงินฝากให้ผู้ฝากเงินในสถาบันรับฝากเงินของสหรัฐ ( Federal Deposit Insurance Corporation ) ก็กำลังวางแผนที่จะวางกฎเกณฑ์และกฎระเบียบของเงินคริปโตเคอเรนซี่ให้ชัดเจนในช่วงปี 2022 นี้หลังจากที่ได้มีการวางแผนและหาวิธีการต่าง ๆ มาตั้งแต่ในช่วงปี 2020 จนถึงปี 2021 ที่ผ่านมา

ซึ่งกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้นจะเน้นไปในเรื่องของการธนาคารเสียมากกว่าประชาชนที่มีการถือครองคริปโต โดยกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะเป็นตัวชี้แนวว่าธนาคารสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อต้องการถือครองคริปโตเคอเรนซี่ การอนุญาตให้คนภายในประเทศรับเงินดิจิตอล การใช้งาน Stablecoin และการกู้เงินคริปโตเคอเรนซี่รวมไปถึงการบันทึกค่าเงินบัญชีด้วย วัตถุประสงค์ของการออกกฎหมายดังกล่าวก็คือเพื่อปกป้องนักลงทุน แล้วเพื่อให้ธนาคารสามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ก่อนหน้านี้ทางสำนักงานบัญชีกลางสกุลเงินประเทศสหรัฐได้อนุญาตให้ธนาคารสามารถถือครองคริปโตสำหรับลูกค้าได้ ใช้งาน Stablecoin ได้ แต่ต้องกระทำด้วยความปลอดภัยและความรับผิดชอบ

ภาพจาก Pixabay

สิ่งที่น่าติดตามเลยก็คือตัวบทกฎหมายนั้นจะออกมาเป็นเช่นไรในช่วงปีหน้า เพราะว่ากฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นแม่แบบให้หลาย ๆ ประเทศที่ยังไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเงินดิจิตอลนำไปทำตามภายในประเทศนั่นเอง

ภาพจาก Pixabay

เมื่อหันกลับมามองกฎหมายเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทยในตอนนี้แม้กระทั่งกฎหมายการจัดเก็บภาษีที่ดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้จริง โดยจากข่าวคราวที่ผ่านมาได้มีข่าวว่าในการเก็บภาษีคริปโตนั้นจะต้องหักจากกำไร 15% แล้วยังต้องมีการชำระในช่วงปลายปีอีกด้วย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาแล้วก็ยังไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากไม่รู้ว่าทุก ๆ คนที่ทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายในตลาดจะมีการได้กำไรหรือขาดทุนเป็นจำนวนเท่าใด ถ้าหากจะตั้งเป็นโปรแกรมให้อยู่ภายในตลาดซื้อขายของแต่ละแพลตฟอร์มก็เป็นเรื่องยากเพราะว่าถ้าเกิดขาดทุนแล้วมีการหักภาษีก็จะเป็นผลเสียต่อนักลงทุนนั่นเองอย่างไรกฎหมายดังกล่าวในประเทศไทยก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เวปไซด์ mee-money.com

และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าการที่เรามีรายรับในหลายๆทางย่อมดีกว่าการที่มีรายรับทางเดียวกันใช่ไหมล่ะ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ในวันนี้เราจึงมี 7 วิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income เก๋ๆมาแชร์เป็นแนวทาง ซึ่งบางเทคนิคก็ถือว่าเป็นทางที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงเยอะเลยแต่ก็สามารถสร้างรายรับให้กับคุณได้ ที่สำคัญใครจะรู้ว่าอนาคตคุณอาจหารายได้หลักมาจากทางเหล่านี้ก็ได้

1.Cryptocurrency

เรียกได้ว่าชั่วโมงนี้ไม่มีเหรียญไหนที่มาแรงเท่ากับ “Solona” อีกแล้ว จากข้อมูลต้นปีเหรียญนี้มีมูลค่า 1.4 ดอลล่าร์ และล่าสุดต้นเดือนกันยายนนี้พุ่งสูงถึง 140 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว เรียกว่าฉุดไม่อยู่จริงๆ ลองคิดดูว่าถ้าคุณซื้อ SOL เดือนสิงหาคมที่แล้วในราคา 30 กว่าดอลลาร์แล้วคุณขายไปในวันนี้ คุณจะได้กำไร 110 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว OMG! ไม่มีอะไรคุ้มกว่านี้แล้ว และอีกหนึ่งเหรียญที่น่าสนใจคือ “Bitcoin” ยิ่งอีลอน มัสก์เข้าวงการนี้มาราคาก็ถีบตัวขึ้นมาก ราคาขึ้น-ลงเร็วไม่ใช่แค่ 5 % หรือ 7 %แต่ขึ้นลงหลักสิบ 10% 20% 30 %ต่อวันและเราก็บอกไม่ได้ว่าคุณจะมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่  ถ้าใครยังไม่เคยลองแล้วสนใจสำหรับมือใหม่ต้องค่อยๆเรียนรู้เทคนิค ดูแนวโน้มให้ดี  เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง!

2.TikTok

ถือว่าสนอง Need คนรุ่นใหม่ได้ดี เพราะไม่ต้องใช้เวลาสร้าง Contents  นานก็มีจำนวนคนรับชมเยอะ ขอแค่คุณมีไอเดียเจ๋งๆก็ทำรายได้มหาศาล  อย่างช่อง @meturr (ยอดฟอล 1.6 ล้าน) ที่ทำ Contents คู่พ่อลูกออกมาแล้วเกิดกระแสโด่งดังทำให้รายการทีวีเชิญไปออกและมีสินค้าเข้ามาให้รีวิวมากมาย  จากคนธรรมดาก็กลายเป็นคนดังเพียงข้ามคืนได้ รายได้มาจากการรับรายการ รับรีวิวสินค้า ไลฟ์สตรีม สปอนเซอร์โฆษณา ส่วนเรทรายได้ของแต่ละช่องก็จะไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับยอดฟอลและกระแส สำหรับใครที่อยากลองเล่นสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น TikTok จาก Apple Store หรือ Play Store ได้เลย

3.ขายภาพถ่ายออนไลน์

สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ คุณรู้หรือเปล่าว่านอกจากคุณจะได้ทำในสิ่งที่เป็นความสุขแล้วยังสามารถทำรายได้ให้กับตัวเองได้ด้วย เพราะสมัยนี้มีเว็บต่างๆที่เปิดให้คุณนำภาพผลงานไปฝากขายได้เช่น

-Shutterstock ( https://www.shutterstock.com )

iStockphoto ( https://www.istockphoto.com/th )

Dreamstime ( https://www.dreamstime.com )

มีผู้ใช้งาน Shutterstock คนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ที่เขาขายภาพได้ 45.75 US (1,372.5 บาท) โอ้พระเจ้า! และภาพนั้นคือภาพผนังสเเตนเลสในลิฟท์ ที่เขาบังเอิญถ่ายจากการขึ้นลิฟท์ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรืออย่างภาพกระจกห้องน้ำที่มีไอน้ำเกาะอยู่ซึ่งเขาก็ใช้มือถือถ่ายได้โดยบังเอิญเช่นกันแต่นำส่งขายได้ถึง 60 US (1,800 บาท) เลยทีเดียวทำให้เราเห็นว่าความบังเอิญก็ทำรายได้มหาศาลให้เราได้!

4.เขียนบทความ

สำหรับใครที่เลิฟการเขียน คุณสามารถทำให้สิ่งที่คุณรักกลายเป็นตัวเงินได้ เพราะสมัยนี้มีเว็บไซต์ต่างๆที่มารองรับมากมาย เช่น

-TrueID In-trend (https://home.trueid.net/)

-Blockdit (https://www.blockdit.com/)

-ThaiSEOBoard (http://www.thaiseoboard.com/)

-Fastwork (https://fastwork.co/)

– Readme.me (https://th.readme.me/)

                อย่างใครที่เป็นมือใหม่หัดเขียนเราขอแนะนำ TrueID เลย ค่าตอบแทน 100 บาทต่อบทความ และเราจะได้รับเงินก็ต่อเมื่อบทความมียอดวิว 500 วิวขึ้นไป เรียกได้ว่าใครมีไอเดียเก๋ๆหรือประสบการณ์อะไรก็มาแชร์กันได้ ขยันมากก็ได้มาก!

5.YouTube Channel

                ใครที่มีทักษะการสื่อสารที่ดี มีเอกลักษณ์ มาลองทำ youtube กัน รายได้นั้นมาจากการขายโฆษณา ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ทำได้ อย่างเด็กเล็กๆก็ยังมาสอนแต่งหน้า รีวิวของเล่น สร้างรายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งถ้าช่องคุณมีไอเดียที่แตกต่าง แปลกใหม่อาจได้งานต่อยอดไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือจ้างไปทำรายการทีวีเลยก็ได้ อย่างช่องยูทูป pangpon js ที่เป็นคนธรรมดามาเริ่มต้นทำยูทูป Contents เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย เริ่มทำประมาณ 6 เดือนได้เงินก้อนแรก 130 กว่าดอล ตีเป็นเงินไทยประมาณ 4,000 บาทเลย คนธรรมดาอย่างเราก็ทำได้!

6.หนังสือเสียง Audiobook

                การสร้างรายได้ช่องทางนี้เรียกได้ว่าลงทุนแค่เสียง  เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาหรือผู้บกพร่องทางการอ่านได้รับรู้เนื้อหาจากหนังสือ คุณสามารถเสนอเสียงของตัวเองให้แก่สำนักพิมพ์ทำเป็นหนังสือเสียงเพื่อวางจำหน่ายได้ โดยผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ookbee , beeber , meb เป็นต้น และรายได้ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างตามการประกาศรับคนอ่านหนังสือเสียงตามเว็บไซต์ต่างๆส่วนใหญ่จะได้เงินต่อการอ่าน 1 เล่มประมาณ 1,500-2,000 บาท ว้าวเลยใช่ไหมล่ะ!

 7.ขายคอร์สเรียนออนไลน์

                ไม่ต้องจบครุศาสตร์ก็เป็นครูได้! ขอแค่คุณมีความถนัดไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส คณิตศาสตร์ หรือนอกเหนือจากนี้เช่น การแต่งหน้า การตัดผม การจัดดอกไม้ การทำขนมต่างๆ ลงทุนลงแรงเพียงครั้งเดียวแต่ได้ Passive income แบบระยะยาว เรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก ! อย่างกัปตันไอซ์ Admission Reality 5 by dek-d สมัยแอดมิดชั่นเรียกได้ว่าดังมาก! ตอนนี้เธอเปิดโรงเรียนสอนภาษาออนไลน์ อย่างคอร์สปู grammar ราคา 1000 บาทเท่านั้น! รายได้จากการขายคอร์ส ออนไลน์ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปแต่รับรองว่าได้เงินดีและยังแชร์ความรู้อีกด้วย

                ใครที่สนใจหรือมีความถนัดทางด้านไหนก็สามารถไปศึกษาเป็นแนวทางเพื่ออนาคตข้างหน้า หรือไปสร้างรายได้กันได้เลย และไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น อายุไม่ใช่ปัญหาเลย รับรองว่าการมีรายรับสองทางอย่างไรแล้วก็ดีกว่าทางเดียวเสมอ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

บริษัท EA บอก! NFTs จะเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเกม

บริษัท EA บอก! NFTs จะเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเกม

อุตสาหกรรมเกมเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องและเติบโตอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ปี เราได้เห็นเกมใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุก ๆ ปี หลายเกมเป็นเกมยอดนิยมที่มีผู้เล่นไปทั่วทั้งโลก อีกหลายเกมก็เป็นเกมที่ไม่ได้ได้รับความนิยมมากนักแต่ก็สามารถเจาะกลุ่มผู้เล่นของตัวเองได้อย่างดี ซึ่งเป็นความสำเร็จของบริษัทสร้างเกมเลยก็ว่าได้

ภาพจาก Pixabay

ในปีนี้เป็นปีที่เราได้รู้จักกับเทคโนโลยีบล็อกเชนที่อยู่ในเงินคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นทำให้เกิดเทคโนโลยีการเงินรูปแบบใหม่รวมไปถึงผลงานศิลปะในรูปแบบใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน ปัจจุบันนี้เราได้เห็นโลกการเงินเป็นรูปแบบของ DeFi ที่ให้ผู้คนจำนวนมากนำเงินของตนเองเพื่อไปฝากหรือปล่อยกู้เพื่อรับดอกเบี้ย ซึ่งเงินในที่นี้หมายถึงเงินดิจิตอล ในส่วนของผลงานศิลปะ NFTs เป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่และกำลังได้รับความนิยม สิ่งสำคัญเลยคือสร้างรายได้ให้กับคนขายหรือผู้สร้าง NFTs ได้ ซึ่งปัจจุบันมีในรูปแบบของผลงานศิลปะและไอเทมภายในเกม

ซึ่งการขาย NFTs ภายในเกมนั้นก็กำลังเป็นที่แพร่หลายอย่างมากโดยเฉพาะในเทคโนโลยี GameFi หรือการเล่นเกมแบบ Play to earn โดยเกมรูปแบบนี้ผู้เล่นสามารถเข้าไปเล่นเพื่อได้ของรางวัลมาเป็นเงินและนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงิน Fiat หรือจะเข้าไปลงทุนเพื่อได้รับเงินรางวัลเพิ่มเติมก็ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Wallpaperaccess

บริษัท EA เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่กำลังจะนำ NFTs มาใช้ในเกมของตนเองซึ่งบริษัท EA นั้นมีเกมที่สร้างชื่อตั้งชื่อเกม FIFA ซึ่งทางผู้บริหารบริษัท Andrew Wilson ได้บอกกับนักลงทุนว่าผู้เล่นเกม FIFA อยากจะเห็น NFTs ภายในเกม เขายังบอกอีกด้วยว่าความคิดนี้ยังอยู่ในช่วงของการเริ่มต้นที่มาพร้อมกับความนิยมที่สูง ซึ่งในอนาคตไม่แน่เราอาจจะได้เห็น EA นำ NFTs มาใส่ในโหมด Ultimate Team ซึ่งเป็นโหมดที่ผู้เล่นจะใช้การ์ดนักกีฬาฟุตบอลในการเข้ามาเล่นซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างพอดิบพอดีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะมีการนำมาใช้กับเกม NHL ด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Wallpaperaccess

ซึ่ง NFTs ที่มาในรูปแบบของสะสมดิจิตอลนั้นผู้เล่นสามารถเก็บสะสมไว้กับตัวเองก็ได้หรือจะนำไปขายเพื่อทำกำไรก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้มีเว็บไซต์มากมายที่มีการขายผลงาน NFTs รวมไปถึงเกมหลาย ๆ เกมก็มีตลาดเป็นของตัวเองไว้เพื่อขาย NFTs ภายในเกมที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมา ซึ่งในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าอุตสาหกรรมเกมจะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนและ NFTs เข้าไปใช้ภายในเกมก็เป็นได้ ซึ่งจะทำให้นอกจากผู้เล่นเกมได้รับความสนุกแล้วยังสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้จากการขาย NFTs ถ้าเกิดขึ้นจริงคงทำให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ ขึ้นมามากมายเลยทีเดียวและเทคโนโลยีบล็อกเชนคงทำให้การหาเงินเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นสำหรับคนที่เท่าทันเทคโนโลยี

ข้อมูลจาก BBC

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

รถยนต์ Daymak ขุด Crypto ได้

รถยนต์ Daymak ขุด Crypto ได้!

เทคโนโลยีในโลกของเราเริ่มก้าวล้ำจนเราไม่สามารถจินตนาการได้แล้ว หลังจากในปีนี้โลกของการเงินได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยการที่กระแสของเงินดิจิตอลหรือว่า Cryptocurrency เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อโลกของการเงินมากขึ้น และก็ได้ถูกพูดถึงมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาด้วยราคาที่สูงขึ้นทำให้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น และก็ทำให้คนหันมาทำกำไรกับตลาดเงินดิจิตอลมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกันซึ่งนอกจากการซื้อขายแล้วก็สามารถทำการขุดเพื่อที่จะเงินดิจิตอลสกุลต่าง ๆ มา

ภาพจาก Canva

สำหรับการขุดนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้การ์ดจอที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมากในการเร่งหรือการเพิ่มปริมาณการขุด ซึ่งในตอนนี้ก็กำลังเป็นเทรนที่หลายคนนั้นกำลังทำกัน โดยคนที่มีเงินจำนวนมากก็จะใช้การ์ดจอจำนวนมากในการขุด ซึ่งการที่คนจำนวนมากหันมาใช้วิธีการขุดเงินดิจิตอลมากขึ้นนั้นทำให้อุปกรณ์อย่างการ์ดจอขาดตลาดและมีราคาที่สูงขึ้น นอกจากจะมีการ์ดจอจะมีราคาสูงขึ้นการขุดเงินที่เท่านั้นยังถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งมันก็ทำให้วงการเงินดิจิตอลนั้นถูกมองในแง่ร้ายมากขึ้น แต่ในอนาคตเรามีทางเลือกมากขึ้นในการขุดเงินดิจิตอล โดยในอนาคตจะมีรถยนต์ที่สามารถกดเงินดิจิตอลได้แล้ว

ภาพจาก Daymak

รถยนต์ไฟฟ้า “Spiritus” เป็นรถยนต์ที่จะถูกผลิตออกมาในปี 2023 โดยบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสัญชาติแคนาดาที่มีชื่อว่า “Daymak” ซึ่งความพิเศษของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ก็คือสามารถขุด Bitcoin รวมถึงเงินดิจิตอลสกุลอื่น ๆ ได้ ในขณะที่รถกำลังใช้ไฟฟ้าและจอดอยู่ ที่สำคัญทางบริษัทยังยืนยันอีกว่ารถยนต์คันนี้จะใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาความสิ้นเปลืองพลังงานของการขุดเงินดิจิตอลเลยทีเดียว ที่สำคัญเลยก็คือ Spiritus สามารถสั่งจองได้แล้ว และสามารถชำระเงินด้วย Cryptocurrency ได้ โดยเหรียญที่รับชำระมีดังนี้ Dogecoin, Bitcoin, Ethereum และ Cardano

ภาพจาก Daymak

รถยนต์ไฟฟ้า Spiritus จะมีทั้งหมด 2 รุ่นได้แก่รุ่น Deluxe และรุ่น Ultimate ซึ่งจะมีราคาที่แตกต่างกัน เริ่มจากรุ่น Deluxe จะมีราคาโดยประมาณอยู่ที่ 622,644 บาท  (19,995 USD) และรุ่น Ultimate มีราคาโดยประมาณอยู่ที่ 4,639,860 บาท (149,000 USD) ซึ่งประสิทธิภาพและศักยภาพของรถยนต์ก็จะมีความแตกต่างกันตามรุ่นและราคาที่ได้ประกาศออกมา

ข้อมูลจาก Siamblockchain

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook