Grayscale ชนะ SEC อนาคต Spot Bitcoin ETF เริ่มสดใส

Grayscale ชนะ SEC อนาคต Spot Bitcoin ETF เริ่มสดใส

Grayscale บริษัทกองทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการฟ้องร้องคดีกับ ก.ล.ต.ของประเทศสหรัฐ ว่าด้วยเรื่องการทำ Spot Bitcoin ETF และคำตัดสินของผู้พิพากษาในศาลวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมาก็ตัดสินให้ Grayscale เป็นฝ่ายชนะคดี และมีคำสั่งให้ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกากลับไปทบทวนใบคำร้อง Spot Bitcoin ETF ของ Grayscale ที่ทาง ก.ล.ต.ปฏิเสธไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือยัง เนื่องด้วยศาลมองเห็นว่าโดยที่ก.ล.ต ทำงานตามอำเภอใจ และมีการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากศาลมองว่าก.ล.ตสหรัฐไม่มีเหตุผลเพียงพอว่าทำไมถึงให้ Future Bitcoin ETF ผ่าน แต่กลับไม่ให้ Spot Bitcoin ETF ผ่านจากการยื่นของบริษัทเดียวกัน ซึ่งการตัดสินในครั้งนี้จะมีผลไม่มากก็น้อยกับการพิจารณารับ Spot Bitcoin ETF ที่ยื่นมาภายหลังไม่ว่าจะเป็นกองทุน Blackrock, Fidelity และกองทุนอื่น ๆ

Bloomberg วิเคราะห์โอกาสผ่าน Spot Bitcoin ETF

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

Eric Balchunas จากสำนักข่าว Bloomberg ได้มีการวิเคราะห์ไว้ว่าชัยชนะของ Grayscale ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทกองทุนที่ยื่นใบสมัคร Spot Bitcoin ETF มาภายหลังไม่ว่าจะเป็น Blackrock, Fidelity และกองทุนอื่น ๆ มีโอกาสที่จะถูกอนุมัติผ่านมากถึง 75% แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่ได้มีการระบุระเวลาที่แน่นอน ซึ่งกำหนดการการพิจารณาใบคำร้องของกองทุนต่าง ๆ จะมีเส้นตายของการพิจารณาอยู่ในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า

นอกจากนี้สำนักข่าว CNBC ก็มองว่าโอกาสอนุมัติให้ Spot Bitcoin ETF ก็สดใสเช่นเดียวกัน โดยคาดการณ์ว่ากองทุนที่ได้มีการยื่นใบคำร้องมาจะได้รับอนุมัติในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งตรงกับเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

แต่ถึงแม้ว่าสำนักข่าวต่าง ๆ จะมีมุมมองไปในทิศทางบวก แต่ในคืนวันที่ 31 สิงหาคมต่อเช้าวันที่ 1 กันยายนตามเวลาในประเทศไทย ก.ล.ตสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการประกาศออกมาว่าได้มีการเลื่อนการพิจารณาคำร้อง Spot Bitcoin ETF ในเดือนกันยายนนี้ออกไป ซึ่งการพิจารณาครั้งต่อไปจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ราคาของ Bitcoin ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของก.ล.ต

ภาพ Pexels/Daniel Dan

ในการวิเคราะห์ราคาของ Bitcoin ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คงต้องใช้ข่าว Spot Bitcoin ETF เป็นหลักในช่วงนี้ จากการเลื่อนการพิจารณาในเดือนกันยายนออกไปทำให้ราคาของ Bitcoin ปรับตัวลงมาที่ 26,000 เหรียญ ซึ่งจะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้งในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจจะทำให้ราคาของ Bitcoin มีการขยับตัวอีกครั้งหนึ่ง และไม่แน่อาจจะมีการลากยาวต่อไปจนถึงปีหน้าเลยทีเดียว เพราะในช่วงพิจารณาคำร้องก.ล.ตก็ต้องต่อสู้กับ Grayscale ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาด้วย ซึ่งในปีหน้าก็จะมี Bitcoin halving โดยจะตรงกับวันที่ 5 เมษายนปี 2024 ถ้าหากว่ามีการประกาศรองรับในช่วงต้นปีหน้าบวกกับเหตุการณ์ Bitcoin halving ก็อาจจะทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซี่กลับมาอยู่ใน Bull run อีกครั้ง

ข้อมูลจาก Watcher.Guru , Cointelegraph , Coindesk

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

FBI ตรวจจับ 6 กระเป๋าเงิน BTC จากแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ

FBI ตรวจจับ 6 กระเป๋าเงิน BTC จากแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ

หน่วยงาน FBI ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตรวจจับกระเป๋าเงินดิจิตอลของ Bitcoin จำนวน 6 ใบด้วยกันได้แก่

  • 3LU8wRu4ZnXP4UM8Yo6kkTiGHM9BubgyiG
  • 39idqitN9tYNmq3wYanwg3MitFB5TZCjWu
  • 3AAUBbKJorvNhEUFhKnep9YTwmZECxE4Nk
  • 3PjNaSeP8GzLjGeu51JR19Q2Lu8W2Te9oc
  • 3NbdrezMzAVVfXv5MTQJn4hWqKhYCTCJoB
  • 34VXKa5upLWVYMXmgid6bFM4BaQXHxSUoL

ภาพ Pixabay/Tumisu

โดยทางหน่วยงาน FBI อ้างว่ากระเป๋าตังค์เหล่านี้เป็นของแฮกเกอร์ประเทศเกาหลีเหนือที่มีชื่อว่า Lazarus Group โดยกลุ่มนี้ขโมยเงินคริปโตเคอเรนซี่มาจากหลายที่เมื่อปีที่แล้ว รวมเป็น 1,580 BTC มูลค่ากว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ FBI สามารถตรวจจับกระเป๋าเงินทั้งหมดนี้ได้ ทางหน่วยงานก็ได้เตือนเรื่องนี้ให้ทางบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคริปโตได้รับทราบ และยังคาดว่ากลุ่มแฮกเกอร์เหล่านี้อาจจะมีการเทขาย ฺ Bitcoin อีกด้วย

และเพื่อความปลอดภัยของเหล่าลูกค้า FBI ได้มีการร่วมมือกับบริษัทคริปโตหลายแหล่งไม่ว่าจะเป็น Huobi และ Binance ในการยับยั้งบัญชีการโอนที่เชื่อมต่อกับประเทศเกาหลีเหนือเกาหลีเหนือซึ่งทั้ง 2 บริษัทสามารถยับยั้งการโอนได้เป็นจำนวนเงินกว่า 1.4 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐด้วยกัน แต่ถึงแม้จะมีการกำกับดูแลและความปลอดภัยมากขึ้น ปัจจุบันนี้การสร้างเหรียญเพื่อมาหลอกลวง หรือการแฮกเงินจากระบบก็ยังคงมีให้เห็นอยู่โดยทั่วไปในโลกของสกุลเงินดิจิตอล ยิ่งทำระบบไม่ดีแล้วแฮกเกอร์ก็ยิ่งมีความสามารถที่จะเจาะระบบเพื่อขโมยเงินได้ง่ายมากขึ้น การลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลของเหรียญที่จะเข้าไปลงทุนให้ดีเสียก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในทรัพย์สินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

นอกจากการควบคุมความเสี่ยงด้วยตัวเองแล้วยังมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามข่าวอยู่อย่างสม่ำเสมอด้วย ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมประเทศสหรัฐได้มีการออกข่าวเกี่ยวกับการขาย Bitcoin เป็นประจำ ในสัปดาห์ก่อน The Wall Street Journal มีการรายงานว่า Space X ได้มีการเทขาย Bitcoin ออกมา ซึ่งทำให้ตลาดลงมาอย่างรุนแรง เชื่อว่าข่าวที่ออกมานั้นคงทำให้นักลงทุนเสียหายไปไม่น้อย ในสัปดาห์นี้ก็มีข่าวเกี่ยวกับแฮกเกอร์ประเทศเกาหลีเหนืออีก ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่มีข่าวออกมาว่ากลุ่มแฮกเกอร์ดังกล่าวได้ทำการเทขาย Bitcoin ออกไป แต่ถ้ามีการเทขายเมื่อไหร่ก็คงจะส่งผลกระทบต่อตลาดไม่น้อยเลยทีเดียว

ข้อมูลจาก Cointelegraph

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อเมริกายังส่อแววขึ้นดอกเบี้ย พาตลาดคริปโตแดง

อเมริกายังส่อแววขึ้นดอกเบี้ย พาตลาดคริปโตแดง

เมื่อเวลาตี 1 ของวันที่ 17 สิงหาคมได้มีการประชุม FOMC ของธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งคณะกรรมการส่วนใหญ่ของ FED ยังคงมองว่าเงินเฟ้อของประเทศยังคงไม่ไว้วางใจทำให้มีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีกในระยะยาวเพื่อลดเงินเฟ้อ โดยประเทศสหรัฐต้องการที่จะลดเงินเฟ้อให้เหลือเพียงแค่ 2% ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ยในระยะยาว แต่ในการประกาศดอกเบี้ยครั้งหน้าจะยังไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย

แต่การขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดเงินเฟ้อตั้งแต่ในช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เกิดขึ้นจากการที่ในช่วงหลังจากพ้นวิกฤตโรคโควิด ประเทศสหรัฐได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบซึ่งทำให้เกิดเงินเฟ้อ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มเร่งกันแก้เงินเฟ้อโดยขึ้นดอกเบี้ยจาก 0.25% มาเป็น 5.50% ในช่วงปี 2022 ถึงปี 2023 ซึ่งโดยปกติแล้วการขึ้นดอกเบี้ยจะขึ้นให้เทียบเท่ากับอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศปัจจุบันประเทศสหรัฐมีเงินเฟ้อที่ต่ำกว่า 5%

ภาพ Pexels/Pixabay

ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยมาเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ดูเหมือนประเทศสหรัฐอเมริกาจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ทำให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐนั้นกำลังเข้าสู่ช่วงสภาวะถดถอย คนตกงานก็เริ่มมีมากขึ้น ซึ่งในมุมนี้ทางคณะกรรมการก็มีความกังวลอยู่บ้างแต่ก็ยังมองว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งอยู่ ในมุมของวิกฤตธนาคารอาจจะมีเกิดขึ้นอีกในปีนี้หลังจากมีการล่มสลายของแบงก์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีความกังวลในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ มีความเป็นไปได้ว่าความต้องการบ้านและที่พักอาศัยอาจจะลดลงอย่างรุนแรง โดยมันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทประกัน

นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐหยุดนิ่งแล้วการที่มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินเฟ้อ ต่อเนื่องทำให้ส่งผลต่อตลาดทุนด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในสหรัฐหรือตลาดคริปโตก็พากันปรับตัวลงเป็นสีแดง

Bitcoin ETF ยุโรปมาแล้ว แต่ BTC ยังลง

ภาพ Pexels/Daniel Dan

Bitcoin เหรียญคริปโตเคอเรนซี่ที่ใหญ่ที่สุด ได้มีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงที่มีประกาศรายงาน FOMC หลังจากที่ได้มีการวิ่งอยู่ในกรอบตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นมาโดยราคาได้หลุดต่ำกว่า 29,000 เหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงเช้าวันที่ 17 สิงหาคม การปรับตัวลงในครั้งนี้ทำให้เหรียญอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาดมีการปรับตัวตามลงมาด้วยเช่นเดียวกัน และ Bitcoin ก็ยังคงติดแนวต้านที่ 31,000 เหรียญ ต่อไป จุดสำคัญคงเป็น Spot Bitcoin ETF ที่จะทำให้ราคาของ Bitcoin ขยับขึ้น ซึ่งตอนนี้ทางยุโรปก็ได้มีกองทุน Jacobi Bitcoin ETF เป็น Spot Bitcoin ETF ตัวแรกขึ้นมาแล้ว นำทางฝั่งอเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ต้องดูว่าทางฝั่งอเมริกาจะตามมาเมื่อใด ในเมื่อ SEC ยังไม่มีความแน่นอน

ข้อมูลจาก efinanceThai , CNBC ,Investing.com

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มเดินเครื่องขยายธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่โดนฟ้องร้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา Binance ก็เริ่มเบนเป้าไปที่ประเทศอื่นหนึ่งในนั้นก็คือเมืองดูไบของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยทางบริษัทได้ใบอนุญาตชั่วคราวเมื่อเดือนกันยายนปี 2022 และได้รับ ใบอนุญาต MVP (Minimal Viable Product) จาก Virtual Assets Regulatory Authority (VARA) ของดูไบ เมื่อปีที่ผ่านมา โดยใบอนุญาตดังกล่าวทำให้ Binance จะสามารถเปิดบัญชีธนาคารในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พร้อมกับดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่

ภาพ Pexels/Ivan Siarbolin

การดำเนินการเพื่อเปิดธุรกิจเมืองดูไบ Binance ผ่านมา 1 ใน 3 แล้วเหลือเพียงแค่ใบอนุญาตเดียวก็คือ FMP (Full Market Product) ถ้าบริษัทไม่ได้ทำผิดกฎใด ๆ ก็น่าจะได้รับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และ Binance ก็จะสามารถลงหลักปักฐานที่เมืองดูไบได้อย่างไม่ต้องกังวล หลังจากที่บริษัทพยายามจะเจาะตลาดในทวีปยุโรปแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาต

Binance เปิดสาขาญี่ปุ่น

ภาพ Pexels/Arkkrapol Anantachote

นอกจาก Binance จะประกาศชัยชนะที่เมืองดูไบแล้ว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา Binance ก็ได้มีการประกาศเปิดสาขาญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และได้กลายเป็น Exchange คริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่เมื่อ 2 ปีก่อน Binance พยายามที่จะเจาะตลาดของประเทศญี่ปุ่นแต่ก็ได้รับคำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแลในญี่ปุ่น เนื่องจากไม่ทำตามกฎระเบียบที่วางไว้ แต่ Binance ก็พยายามเจาะตลาดญี่ปุ่นอีกครั้งโดยการเข้าซื้อ Sakura Exchange BitCoin และเปลี่ยนเป็น Binance Japan

Binance Japan ได้มีการลิสต์เหรียญให้นักลงทุนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนการจำนวน 34 เหรียญ โดยจะมีเหรียญหลัก ๆ อย่าง Bitcoin, ETH, ADA, BNB, Doge และอื่น ๆ

การที่Binance สามารถที่จะเข้าถึงตลาดแห่งใหม่ได้นั้นทำให้พวกเขาไม่ต้องรับแรงกดดันจากการตรวจสอบของประเทศสหรัฐอเมริกามากเกินไป การตั้งหลักปักฐานในประเทศที่เป็นมิตรกับคริปโตเคอเรนซี่คงเป็นเรื่องที่ดีต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต และป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อบริษัทได้ในระยะยาว

ข้อมูลจาก สยามบล็อกเชน : Binance เตรียมลุยดินแดนสุลต่าน! หลังได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการใน “ดูไบ”

สยามบล็อกเชน : Binance ประกาศเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ พร้อมมีให้เทรดถึง 34 เหรียญ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

หุ้น OR ราคาเป็นอย่างไรกันบ้างนะ

หุ้น OR ราคาเป็นอย่างไรกันบ้างนะ

ในเรื่องการเงินถือว่าเป็นจุดสนใจของใครหลายคนอยู่เสมอและสำหรับการลงทุนที่สามารถทำกำไรหรือผลตอบแทนได้สูงมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการลงทุนหุ้นที่หลาย ๆ คนนั้นสามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ และสำหรับประเทศไทยก็มีหุ้นหลายตัวที่คนไทยเลือกลงทุนกัน แต่สำหรับในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น OR หุ้นตัวใหม่ล่าสุดของ PTT ที่ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก

Cr.Pexels

การลงทุนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ในบ้านเราก็คงจะหนีไม่พ้นหุ้น OR ที่เดิมเปิดการจองมาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาในราคา 18 บาทและในการเปิดตัวนั้นก็ทำราคาพุ่งไปถึง 26 บาท ทำให้หลายคนนั้นที่ได้ทำการจองหุ้นตัวนี้ไว้พอราคาเปิดขึ้นมาในราคาที่สูงขึ้นขนาดนี้ทำให้หลายคนนั้นขายทำกำไรกันอย่างไรก็ตามทันทีที่หลายคนนั้นได้เริ่มทำการขายเพื่อทำกำไรกับหุ้นตัวนี้ราคาของมันก็ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นสูงไปกว่า 30 บาทเป็นที่เรียบร้อยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นหลายๆ คนก็เริ่มทำกำไรและได้ขายหุ้นตัวนี้ทำให้ราคาน้ำตกลงมาอยู่ที่ 29.5 บาท อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้หุ้นตัวนี้ก็ได้ทำการเปิดราคาที่ 32 บาท

Cr.Pexels

กลับมามีราคาสูงขึ้นมากกว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเดิม ต้องมาติดตามดูกันว่าหลังหมดสัปดาห์นี้ไปราคาจะประโยคในทิศทางไหนราคาจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือจะมีการเทขายเพื่อให้ราคาลดต่ำลง อย่างไรก็ตามในตลาดหุ้นไทยนั้นยังมีหุ้นอีกมากมายให้เราได้เลือกลงทุนกันแต่การลงทุนในหุ้นนั้นก็ควรที่จะเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีสามารถสร้างผลกำไรได้ แล้วต้องศึกษาเกี่ยวกับวิธีการลงทุนให้ดีเสียก่อน เพราะว่าถึงแม้ว่าหุ้นจะมีราคาสูงขึ้นอย่างไรก็ตามราคาของมันก็สามารถปรับตัวลงมาได้เช่นเดียวกัน ทำให้มีสิทธิ์ที่จะขาดทุนอยู่เช่นเดียวกัน

Cr.Pexels

ถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแล้วเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่าเงินสกุลดิจิตอลเนื่องจากมีความผันผวนที่ไม่สูง แต่ว่าถ้าหากเลือกคุณไม่ถูกตัวแล้วละก็ คงจะไม่สามารถทำกำไรตอบแทนคืนมาได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญในการลงทุนในหุ้นจะต้องสามารถบริหารการเงินของตัวเองให้ดีเสียก่อน และสำหรับมือใหม่ไม่ควรใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนนะครับ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ประเทศจีนจะไปทางไหน เมื่อเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอยด้านเศรษฐกิจ

ประเทศจีนจะไปทางไหน เมื่อเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอยด้านเศรษฐกิจ

ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่และเป็นมหาอำนาจในทวีปเอเชียรวมถึงเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของทางฝั่งตะวันออกด้วย แต่ดูเหมือนว่าในปัจจุบันนี้ประเทศจีนจะต้องรับมือกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเพราะว่าประเทศกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย

จากการรายงานตัวเลข Consumer Price Index (CPI) หรือว่าดัชนีผู้บริโภค ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ถึงราคาสินค้าและบริการในประเทศนั้นๆ โดยตัวเลขดัชนีผู้บริโภคนั้นจะเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยบ่งบอกว่าประเทศมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงหรือต่ำ สำหรับประเทศจีนการประกาศตัวเลขดัชนีผู้บริโภคประจำเดือนกรกฎาคมตัวเลขออกมาเป็น 0% ซึ่งนั่นก็หมายความว่าประเทศจีนไม่มีภาวะเงินเฟ้อ นอกจากจะไม่มีภาวะเงินเฟ้อแล้วยังสุ่มเสี่ยงที่จะติดลบด้วย

ภาพ Pexels/TonyNojmanSK

 แต่การไม่มีเงินเฟ้อเลยก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นเดียวกันถึงแม้ว่าสินค้าและบริการจะถูกลงแต่ในอีกนัยหนึ่งมันก็หมายความว่าประชากรภายในประเทศเริ่มจะเก็บเงินเข้ากระเป๋าและไม่มีการออกมาจับจ่ายใช้สอยนั่นเองทำให้เศรษฐกิจนั้นเกิดการหยุดชะงักตัว รวมไปถึงอัตราการจ้างงานก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ประเทศจีนจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเงินเข้าไปในระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกับที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทำเมื่อช่วงโควิดที่ผ่านมา

ในตอนนี้เรียกว่าภาพของประเทศจีนตรงข้ามกับประเทศสหรัฐที่พยายามจะลดเงินเฟ้อโดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย

มาตรการสู้เศรษฐกิจถดถอย ภาคส่วนไหนจะได้ประโยชน์

ตอนนี้ประเทศจีนเริ่มที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วและจะมีความคืบหน้าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ อย่างหนึ่งเราสามารถเห็นได้ชัดเลยก็คือธนาคารในประเทศจีนเริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และในอีกไม่ช้าธนาคารกลางก็คงจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงด้วย เพื่อหนุนให้คนลงทุนเพิ่มมากขึ้น

ภาพ wallpapers.com

นอกจากนี้ประเทศจีนอาจจะมีการกระตุ้นบางภาคส่วนธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกับเทรนด์ที่กำลังมาแรงอย่าง AI และบริษัทเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Tencent หรือ Alibaba 2 บริษัทนี้เป็นบริษัทที่เป็นที่รู้จักในประเทศจีนและทั่วโลก และอาจจะเป็นธุรกิจหลักที่จะผลักดันให้ประเทศจีนสามารถก้าวข้ามเศรษฐกิจถดถอยในคราวนี้ไปได้ ในภาคส่วนอื่นๆ ก็คงต้องติดตามว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือภาคส่วนใดบ้าง

ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นผลบวกต่อการลงทุน เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มนำเงินเข้าไปช่วยเหลือภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งนั่นก็หมายความว่ารัฐบาลเห็นความสำคัญในภาคส่วนนั้นๆ ซึ่งมันจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยให้ธุรกิจมีการเติบโต การเข้าไปลงทุนในภาคส่วนเดียวกับที่รัฐบาลจีนเข้าไปช่วยเหลือก็อาจจะทำให้ได้กำไรกลับมาแต่ก็ต้องควบคุมความเสี่ยงไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้สำหรับหุ้นบริษัทเทคโนโลยีก็เริ่มมีการปรับตัวขึ้นแล้ว

สำหรับใครที่ลงทุนในของประเทศจีน หรือกำลังพิจารณาเพื่อเข้าไปลงทุนก็ควรติดตามข่าวของประเทศจีนอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้อง

ข้อมูลจาก investing.com ,

เงินเฟ้อของจีนยังคงดำเนินต่อไป ความกลัวภาวะเงินฝืดทวีความรุนแรง investing.com

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก  
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

อนาคตของเงินดิจิตอลที่สดใส

อนาคตของเงินดิจิตอลที่สดใส

ในช่วงนี้ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลนั้นมีความคึกคักเป็นอย่างมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เงินดิจิตอลหลายๆ เหรียญก็ทำราคาสูงสุดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายนจนตอนนี้เหรียญที่ทุกคนจับตามอง Bitcoin ก็สามารถทำราคามากกว่า 2 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเหรียญอื่น ๆ ก็ทำกำไรให้กับนักลงทุนเป็นจำนวนมาก

Cr.Pngaaa

เว็บไซต์ Coinbase ที่เป็นกระดานแลกเปลี่ยนซื้อขายเงินดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐที่ถูกกฎหมาย ได้นำบริษัท Coinbase เข้าสู่เว็บไซต์ตลาดหุ้น nasdaq ของสหรัฐอเมริกาด้วยวิธี Direct listing แล้วปิดการซื้อขายวันแรกที่ราคา 328.28 $ สูงกว่าราคาเปิดตัวมากถึง 31.31 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าหลังจากเปิดให้ซื้อขายที่ตลาดหุ้นก็กลายเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากในประเทศสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว เรียกว่าตอนนี้ตลาดซื้อขายเงินดิจิตอลในสหรัฐนั้นกำลังเป็นกระแสอย่างมากเลย

Cr.Wikimedia

พอได้ยินข่าวเช่นนี้แล้วเมื่อหันมามองในประเทศไทยบริษัทที่เป็นเว็บไซต์ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Bitkub ที่ปัจจุบันนี้ก็กลับมาเปิดรับลูกค้าเพิ่มและก็เป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากเช่นเดียวกัน โดยล่าสุดคุณท็อป จิรายุส CEO ของบริษัท Bitkub ก็ได้ออกมาขอความคิดเห็นของสมาชิกผู้ติดตามผ่าน Facebook Fanpage เรื่องการ IPO หุ้น ของบริษัท Bitkub เช่นเดียวกับบริษัท Coinbase ของประเทศสหรัฐอเมริกา กับ การสร้างเหรียญดิจิตอล Bitkub เป็นของตัวเอง ซึ่งหลังจากมีการโพสต์เรื่องนี้ออกไปก็สร้างความสนใจให้กับผู้ติดตามของแฟนเพจเป็นอย่างมากหลาย ๆ คนก็ต้องการการ IPO หุ้น อีกหลายคนก็ต้องการเหรียญดิจิตอล Bitkub และก็ยังมีอีกหลายคนที่เห็นด้วยกับทั้งสองอย่าง ทางนี้ก็ต้องมาดูว่าทางบริษัทจะตัดสินใจเช่นไร แต่ว่าผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ก่อนก็จะเป็นผู้ใช้บริการของเว็บเทรด Bitkub

ดูโพสต์จริงได้ที่Facebook Top Jirayut

ตอนนี้ทางบริษัท Bitkub ก็สร้างผลกำไรได้สูงมากและถ้าในปีนี้สามารถทำกำไรได้มากกว่า 1000 เปอร์เซ็นต์ก็อาจจะได้กลายเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย

จากในอดีตคนมองว่าเงินดิจิตอลเป็นเพียงแค่ทรัพย์สินที่ใช้เก็งกำไร หรือหลายคนมองว่าเป็นทรัพย์สินที่ยังไม่มีความแน่นอนเนื่องจากยังไม่มีทรัพย์สินอื่น ๆ มารองรับ และเป็นทรัพย์สินที่มีความผันผวนสูงจึงมีความเสี่ยงที่จะลงทุน แต่จากการที่บริษัท Coinbase สามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาได้นั้น ก็คงจะเป็นตัวยืนยันได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมรับในเงินดิจิตอล และสร้างความมั่นใจให้กับใครหลาย ๆ คนได้อีกด้วย ในอนาคตวงการเงินดิจิตอลก็คงจะสดใสอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก Blognone, Siamblockchain, Cnn

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เมื่อดอลลาร์สหรัฐเริ่มเสื่อมมูลค่าลง

เมื่อดอลลาร์สหรัฐเริ่มเสื่อมมูลค่าลง

ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจระดับโลกแล้วประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจเลยทีเดียว ดูได้จากการเก็บเงินทุนสำรองหรือการค้าขายในระหว่างประเทศที่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐหรือแม้กระทั่งในตลาดของการลงทุนแทบจะทั่วโลกมักขึ้นอยู่กับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของทางประเทศสหรัฐตัวอย่างเช่นตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากแสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศสหรัฐนั้นเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจมันยังแสดงให้เห็นได้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด มันจึงถูกหมุนเวียนไปยังทั่วโลก

ภาพ Pexels/John Guccione www.advergroup.com

แต่ความแข็งแกร่งของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืนได้เท่ากับเมื่อก่อน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ และ หนี้สิน ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐก็เริ่มมีความเสื่อมมูลค่าลง และเราก็สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้อย่างแน่ชัดจากปากของเจเน็ต เยลเลนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการออกมายอมรับว่า เงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะเงินทุนสำรองของโลกนั้นเริ่มมีการลดลง เป็นการล่มสลายของเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างช้า ๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นตัวเธอก็ยังบอกอีกด้วยว่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่

ภาพ Pexels/Pixabay

การที่เป็นเช่นนี้เหตุผลก็คงจะเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจหลายประเทศนั้นขึ้นอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐมากเกินไป เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกามีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจทำให้ส่งผลกระทบต่อประเทศที่ใช้เงินทุนสำรองเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ประเทศบางประเทศจะต้องมองหาทางเลือกใหม่เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว แล้วด้วยเหตุนี้บางประเทศที่เป็นขั้วอำนาจของโลกจึงได้มีการจับมือรวมกลุ่มกันและเริ่มมีการปฏิเสธการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐและหันมาใช้สกุลเงินของตัวเองเป็นทุนสำรองหรือใช้ในการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่นกลุ่ม BRICS ที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนมาใช้หยวนในการติดต่อค้าขายกันระหว่างประเทศแล้วในตอนนี้

เป็นที่น่าสนใจเลยทีเดียวว่าในอนาคตสุดท้ายแล้วดอลลาร์สหรัฐจะสามารถเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้อีกนานแค่ไหน จะมีเงินสกุลอื่นขึ้นมายึดครองตำแหน่งได้หรือไม่ และถ้าได้จะเป็นเงินในสกุลใด แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงเศรษฐกิจของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปทิศทางใด

ข้อมูลจาก Marketinsider

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Binance โดนฟ้อง วงการคริปโตอาจมีภัย

Binance โดนฟ้อง วงการคริปโตอาจมีภัย

Binance ศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดของโลกโดน ก.ล.ต.สหรัฐสั่งฟ้อง กลายเป็นข่าวใหญ่ประจำเดือนมิถุนายนพร้อมกับพาตลาดคริปโตกลายเป็นนรกเลยก็ว่าได้

สำหรับ Binance ที่เป็นรายใหญ่ในวงการคริปโต การถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้และเป็นมาเสมอตั้งแต่ตลาดคริปโตเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ก่อนหน้านี้ทาง ก.ล.ต.สหรัฐก็ได้เข้าไปกำกับดูแลบริษัท Paxos บริษัทที่ดูแลเหรียญ BUSD ให้กับ Binance จนทำให้เหรียญ BUSD ร่มกันเลยทีเดียว แต่การสั่งฟ้องคราวนี้รุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาโดย Gary Gensler ประธาน ก.ล.ต.ของประเทศสหรัฐได้มีการฟ้อง Binance ถึง 13 ข้อหารวมทั้งสิ้นจำนวนหน้าทั้งหมด 136 หน้า ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ถึงตลาดคริปโตเลยก็เป็นได้ โดยสามารถแบ่งเป็นหัวข้อหลักได้ดังนี้

  • มีการใช้ทุนของลูกค้าที่ไม่ชอบมาพากล
  • มีโฆษณาชวนเชื่อที่ชี้นำไปในทางที่ผิด
  • ทำผิดกฎหลักทรัพย์
  • ล้มเหลวในการจำกัดลูกค้าชาวอเมริกัน

นอกจากการฟ้อง Binance ก็ยังมีการสั่งฟ้อง CZ ผู้ที่เป็น CEO ของบริษัทด้วยและยังได้มีการกล่าวถึง Binance.US ในการสั่งฟ้องครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีการกล่าวว่า Binance.US มีความเชื่อมโยงกับ Binance Global โดยทางก.ล.ต.สหรัฐ ก็มีหลักฐานที่ชี้ว่าทั้ง 2 บริษัทนั้นมีความเชื่อมโยงกันผ่านบริษัทที่มีชื่อว่า BAM Management US Holding Inc. ซึ่งมันต่างจากที่ CZ และทาง Binance Global ออกมาบอกก่อนหน้านี้ว่าทั้งสองบริษัทไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันและเป็นอิสระต่อกัน

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

ก.ล.ต.สหรัฐ มีความลำเอียงในการกำกับดูแล

ถึงแม้ว่าทาง Gary Gensler จะออกมาบอกว่าการกระทำครั้งนี้ก็เพื่อดูแลนักลงทุนไม่ให้พบกับความเสี่ยงในการลงทุนบนโลกคริปโตเคอเรนซี่ แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับชาวเน็ตและนักลงทุนบางส่วนด้วยเช่นเดียวกัน เพราะคนบางกลุ่มก็มองว่ามันคือความลำเอียงของ ก.ล.ต.สหรัฐ ที่มีการกำกับดูแลแต่ละ Exchange ด้วยมาตรฐานที่แตกต่างกัน Gary Gensler มักจะมุ่งเป้าไปที่ Binance แต่กับ FTX ที่ล่มไปก่อนหน้านี้กับไม่มีการพูดถึงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งถ้าดูจากข้อหาที่ฟ้องร้อง Binance ก็สามารถเอาไปฟ้องร้อง FTX ในอดีตที่ Sam Bankman-Fried เป็นเจ้าของได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ด้วย Gary Gensler มีความสัมพันธ์กับ Sam Bankman-Fried ทำให้เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องการล่มสลายของ FTX เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้นักลงทุนและชาวเน็ตเริ่มไม่พอใจกับการกำกับดูแลของ ก.ล.ต.สหรัฐที่ไร้มาตรฐาน รวมถึงนายทุนส่วนใหญ่ก็เริ่มย้ายออกจากประเทศสหรัฐเพื่อหาช่องทางลงทุนในประเทศอื่น ๆ

ภาพ Pexels/David McBee

ผลที่ตามมาจากการสั่งฟ้อง Binance

การสั่งฟ้อง Binance อาจจะทำให้เกิด Freeze Asset จะทำให้บริษัทและ CZ ไม่สามารถโยกย้ายทรัพย์สินได้นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะทำได้กับเงิน Fiat แต่ในมุมของเงินดิจิตอลแล้วยังคงต้องใช้เวลา ซึ่งในส่วนนี้อาจจะทำให้เงินทุนของลูกค้าถูกแช่แข็งไปด้วย ทำให้อาจจะไม่สามารถโอนเงินเข้าออกได้จากโบรกเกอร์ได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อข่าวเริ่มแพร่กระจายสู่โลกออนไลน์นักลงทุนส่วนใหญ่ก็เริ่มจะมีการถอนเงินออกจาก Exchange โดยผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็มีเงินไหลออกกว่า 2.6% ของเงินทุนสำรองทั้งหมดของ Binance ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มมีความไม่ไว้ใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและคงจะมีแรงถอนจนกว่าคลื่นลมจะสงบลง

ตลาดทุนคริปโตเคอเรนซี่ก็ปรับตัวลงมาอย่างรุนแรงเหรียญอย่าง Bitcoin ร่วงลงมามากกว่า 5% และ Ethereum ก็ปรับตัวลงมาถึง 4% ด้วยกัน จากการปรับตัวลงของ 2 เหรียญใหญ่ทำให้เหรียญเล็กอื่นๆ ก็ปรับตัวลงเช่นเดียวกันเรียกได้ว่าตลาดแดงต้อนรับข่าวร้ายกันเลยทีเดียว

จากข่าวใหญ่ในคราวนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเงินทุนส่วนใหญ่ที่ออกจาก Binance จะไหลไปสู่ Exchange อันดับ 2 และอันดับที่รองลงมาและได้การกำกับดูแลจากประเทศที่เป็นมิตรต่อคริปโตไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์หรือฮ่องกง

เมื่อมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในโลกของการลงทุน นักลงทุนอย่างเราก็ควรที่จะดูแลพอร์ตการลงทุนของตัวเองให้ดี Binance ก็เป็นอีกส่วนซื้อขายหนึ่งที่มีคนไทยใช้งานเป็นจำนวนมากถ้าหากใครเริ่มรู้สึกถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นก็สามารถโอนเงินเข้าไปเก็บไว้ใน Hardware wallet หรือ Exchange เจ้าอื่นก่อนก็ได้เช่นเดียวกัน จนกว่าผลกระทบจากคลื่นลูกนี้จะหมดไปหรือเบาบางลง

ข้อมูลจาก The Standard , Bloomberg

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

7 วิธีสร้าง Passive income ฉบับง่ายๆทำได้ด้วยตัวเอง  

ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าการที่เรามีรายรับในหลายๆทางย่อมดีกว่าการที่มีรายรับทางเดียวกันใช่ไหมล่ะ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ในวันนี้เราจึงมี 7 วิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income เก๋ๆมาแชร์เป็นแนวทาง ซึ่งบางเทคนิคก็ถือว่าเป็นทางที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงเยอะเลยแต่ก็สามารถสร้างรายรับให้กับคุณได้ ที่สำคัญใครจะรู้ว่าอนาคตคุณอาจหารายได้หลักมาจากทางเหล่านี้ก็ได้

1.Cryptocurrency

เรียกได้ว่าชั่วโมงนี้ไม่มีเหรียญไหนที่มาแรงเท่ากับ “Solona” อีกแล้ว จากข้อมูลต้นปีเหรียญนี้มีมูลค่า 1.4 ดอลล่าร์ และล่าสุดต้นเดือนกันยายนนี้พุ่งสูงถึง 140 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว เรียกว่าฉุดไม่อยู่จริงๆ ลองคิดดูว่าถ้าคุณซื้อ SOL เดือนสิงหาคมที่แล้วในราคา 30 กว่าดอลลาร์แล้วคุณขายไปในวันนี้ คุณจะได้กำไร 110 กว่าดอลลาร์เลยทีเดียว OMG! ไม่มีอะไรคุ้มกว่านี้แล้ว และอีกหนึ่งเหรียญที่น่าสนใจคือ “Bitcoin” ยิ่งอีลอน มัสก์เข้าวงการนี้มาราคาก็ถีบตัวขึ้นมาก ราคาขึ้น-ลงเร็วไม่ใช่แค่ 5 % หรือ 7 %แต่ขึ้นลงหลักสิบ 10% 20% 30 %ต่อวันและเราก็บอกไม่ได้ว่าคุณจะมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่  ถ้าใครยังไม่เคยลองแล้วสนใจสำหรับมือใหม่ต้องค่อยๆเรียนรู้เทคนิค ดูแนวโน้มให้ดี  เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง!

2.TikTok

ถือว่าสนอง Need คนรุ่นใหม่ได้ดี เพราะไม่ต้องใช้เวลาสร้าง Contents  นานก็มีจำนวนคนรับชมเยอะ ขอแค่คุณมีไอเดียเจ๋งๆก็ทำรายได้มหาศาล  อย่างช่อง @meturr (ยอดฟอล 1.6 ล้าน) ที่ทำ Contents คู่พ่อลูกออกมาแล้วเกิดกระแสโด่งดังทำให้รายการทีวีเชิญไปออกและมีสินค้าเข้ามาให้รีวิวมากมาย  จากคนธรรมดาก็กลายเป็นคนดังเพียงข้ามคืนได้ รายได้มาจากการรับรายการ รับรีวิวสินค้า ไลฟ์สตรีม สปอนเซอร์โฆษณา ส่วนเรทรายได้ของแต่ละช่องก็จะไม่เท่ากันเพราะขึ้นอยู่กับยอดฟอลและกระแส สำหรับใครที่อยากลองเล่นสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น TikTok จาก Apple Store หรือ Play Store ได้เลย

3.ขายภาพถ่ายออนไลน์

สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ คุณรู้หรือเปล่าว่านอกจากคุณจะได้ทำในสิ่งที่เป็นความสุขแล้วยังสามารถทำรายได้ให้กับตัวเองได้ด้วย เพราะสมัยนี้มีเว็บต่างๆที่เปิดให้คุณนำภาพผลงานไปฝากขายได้เช่น

-Shutterstock ( https://www.shutterstock.com )

iStockphoto ( https://www.istockphoto.com/th )

Dreamstime ( https://www.dreamstime.com )

มีผู้ใช้งาน Shutterstock คนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ที่เขาขายภาพได้ 45.75 US (1,372.5 บาท) โอ้พระเจ้า! และภาพนั้นคือภาพผนังสเเตนเลสในลิฟท์ ที่เขาบังเอิญถ่ายจากการขึ้นลิฟท์ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรืออย่างภาพกระจกห้องน้ำที่มีไอน้ำเกาะอยู่ซึ่งเขาก็ใช้มือถือถ่ายได้โดยบังเอิญเช่นกันแต่นำส่งขายได้ถึง 60 US (1,800 บาท) เลยทีเดียวทำให้เราเห็นว่าความบังเอิญก็ทำรายได้มหาศาลให้เราได้!

4.เขียนบทความ

สำหรับใครที่เลิฟการเขียน คุณสามารถทำให้สิ่งที่คุณรักกลายเป็นตัวเงินได้ เพราะสมัยนี้มีเว็บไซต์ต่างๆที่มารองรับมากมาย เช่น

-TrueID In-trend (https://home.trueid.net/)

-Blockdit (https://www.blockdit.com/)

-ThaiSEOBoard (http://www.thaiseoboard.com/)

-Fastwork (https://fastwork.co/)

– Readme.me (https://th.readme.me/)

                อย่างใครที่เป็นมือใหม่หัดเขียนเราขอแนะนำ TrueID เลย ค่าตอบแทน 100 บาทต่อบทความ และเราจะได้รับเงินก็ต่อเมื่อบทความมียอดวิว 500 วิวขึ้นไป เรียกได้ว่าใครมีไอเดียเก๋ๆหรือประสบการณ์อะไรก็มาแชร์กันได้ ขยันมากก็ได้มาก!

5.YouTube Channel

                ใครที่มีทักษะการสื่อสารที่ดี มีเอกลักษณ์ มาลองทำ youtube กัน รายได้นั้นมาจากการขายโฆษณา ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ทำได้ อย่างเด็กเล็กๆก็ยังมาสอนแต่งหน้า รีวิวของเล่น สร้างรายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งถ้าช่องคุณมีไอเดียที่แตกต่าง แปลกใหม่อาจได้งานต่อยอดไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือจ้างไปทำรายการทีวีเลยก็ได้ อย่างช่องยูทูป pangpon js ที่เป็นคนธรรมดามาเริ่มต้นทำยูทูป Contents เกี่ยวกับความเป็นอยู่ ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย เริ่มทำประมาณ 6 เดือนได้เงินก้อนแรก 130 กว่าดอล ตีเป็นเงินไทยประมาณ 4,000 บาทเลย คนธรรมดาอย่างเราก็ทำได้!

6.หนังสือเสียง Audiobook

                การสร้างรายได้ช่องทางนี้เรียกได้ว่าลงทุนแค่เสียง  เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาหรือผู้บกพร่องทางการอ่านได้รับรู้เนื้อหาจากหนังสือ คุณสามารถเสนอเสียงของตัวเองให้แก่สำนักพิมพ์ทำเป็นหนังสือเสียงเพื่อวางจำหน่ายได้ โดยผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ookbee , beeber , meb เป็นต้น และรายได้ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างตามการประกาศรับคนอ่านหนังสือเสียงตามเว็บไซต์ต่างๆส่วนใหญ่จะได้เงินต่อการอ่าน 1 เล่มประมาณ 1,500-2,000 บาท ว้าวเลยใช่ไหมล่ะ!

 7.ขายคอร์สเรียนออนไลน์

                ไม่ต้องจบครุศาสตร์ก็เป็นครูได้! ขอแค่คุณมีความถนัดไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส คณิตศาสตร์ หรือนอกเหนือจากนี้เช่น การแต่งหน้า การตัดผม การจัดดอกไม้ การทำขนมต่างๆ ลงทุนลงแรงเพียงครั้งเดียวแต่ได้ Passive income แบบระยะยาว เรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก ! อย่างกัปตันไอซ์ Admission Reality 5 by dek-d สมัยแอดมิดชั่นเรียกได้ว่าดังมาก! ตอนนี้เธอเปิดโรงเรียนสอนภาษาออนไลน์ อย่างคอร์สปู grammar ราคา 1000 บาทเท่านั้น! รายได้จากการขายคอร์ส ออนไลน์ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปแต่รับรองว่าได้เงินดีและยังแชร์ความรู้อีกด้วย

                ใครที่สนใจหรือมีความถนัดทางด้านไหนก็สามารถไปศึกษาเป็นแนวทางเพื่ออนาคตข้างหน้า หรือไปสร้างรายได้กันได้เลย และไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น อายุไม่ใช่ปัญหาเลย รับรองว่าการมีรายรับสองทางอย่างไรแล้วก็ดีกว่าทางเดียวเสมอ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook