การทำตลาดแบบญี่ปุ่น 4s

การทำตลาดแบบญี่ปุ่น 4s

1. Simple ความเรียบง่ายและคลาสสิก

ความ Simple หรือความเรียบง่าย มักเป็นเอกลักษณ์แรกๆ ที่สามารถสัมผัสได้จากสินค้าญี่ปุ่น 

แต่ทั้งหมดล้วนให้ความเรียบง่าย อาจไม่ได้รู้สึกสะดุดตา หรือโดดเด่นมากนัก แต่มีความเรียบง่าย คือ ความที่ไม่ยุ่งยากหรือไม่ซับซ้อน แต่แฝงด้วยความสะดวกสบาย และเราต้องพอใจหรือสิ่งที่เราสามารถเลือกได้ ด้วยน่ะ ถึงจะเป็นสินค้าที่มีคุณค่า

Cr.pic:

2. Small Details ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ

การทำให้เกิดความเอาใจใส่สินค้า คนซื้อสินค้าเกิดความรูสึกดีที่ได้รับสินค้าหรือบริการไป โดยเฉพาะในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะมองข้ามไป แต่ก็สามารถสัมผัสได้ เช่น การรับประทานอาหารผลิตออกมาเพื่อมนุษย์เงินเดือนที่เร่งรีบ ได้รับประทานอาหารอย่างสะดวก เช่น มีขนาดใหญ่ขึ้น เปิด-ปิดง่าย จึงตอบโจทย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องเดินทางไปทำงานตลอด เป็นต้น

Cr.pic:

3. Story เรื่องราวคือคุณค่า

การใช้เรื่องราวเพื่อทำการตลาดเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งในตลาดไทย มักจะเปรียบเทียบของสรรพคุณหรือข้อดีของสินค้า แต่ในญี่ปุ่นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณค่าภายนอก สิ่งที่ทุกคนสามารถรับรู้ได้เห็นได้ผ่านเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาให้เข้าถึงอารมณ์ของผู้บริโภคได้ดี สร้างความประทับใจ และการจดจำให้กับลูกค้าได้ง่ายกว่า เป็นคุณค่าที่ทำให้สินค้าแตกต่างจากคู่แข่งขันรายอื่น และสร้างการจดจำให้กับลูกค้า ทั้งนี้ ยังรวมถึงประสบการณ์ที่ได้จากการใช้สินค้านั้นๆ ด้วย ไม่ว่าการออกแบบสินค้าและอื่นๆ

Cr.pic:

4. Selfless คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง

จะเห็นได้ตามร้านขายของของฝาก หรือตามห้างสรรพสินค้า  นิสัยและพฤติกรรมคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะอ่อนโยน  เป็นระเบียบ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ รู้สึกประทับใจ ข้ามซึ่งสะท้อนออกมาในสินค้าได้เป็นอย่างดี ในด้านการบริการ ธุรกิจญี่ปุ่นนั้นจะทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจที่อยู่ใต้การดูแลของเขามีความพึงพอใจต่อสินค้าและบริการมากขึ้น

สรุปง่ายๆ ก็คือจุดเริ่มต้นของธุรกิจ คือ ต้องเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงแล้ว การทำการตลาดที่มาจากใจ และใส่ใจ ที่เกิดจากความพยายามอยากทำสินค้าที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ แต่ครองใจลูกค้าได้ ที่สำคัญต้องใส่รายละเอียดเล็กๆ ทำสินค้านี้ไปเพื่ออะไร สิ่งนี้จะทำให้เราพบกับคิดถึงคนอื่นที่เจอเหตุการณ์เหมือนกันหรือแตกต่างจะรู้สึกอย่างไร

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

กลยุทธ์การตลาดที่นิยมใช้กันเพื่อสร้างยอดขาย

กลยุทธ์การตลาดที่นิยมใช้กันเพื่อสร้างยอดขาย

1กลยุทธ์การตลาดความน่ารัก

Cute Marketing

กลยุทธ์การตลาดที่ใช้อานุภาพความน่ารัก สีหวานๆ สีพาสเทล  มีขนาดเล็ก ทำให้ลูกค้าอยากซื้อ เกิดความสนใจมากขึ้นทำให้ลูกค้าในกลุ่มสาวๆ อยากครอบครองสิ้นค้ามากขึ้น  ยิ่งถ้าเป็น ‘ตัวละครการตูน  ที่มีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างและต่อยอดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้หญิงเป็นเพศที่แพ้ความน่ารัก กลุ่มธรกิจเครื่องสำอางโดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ๆ มักจะใช้กลยุทธ์นี้ตีตลาด ดึงดูดลูกค้ามาซื้อสินค้ากลุ่มเป้าหมายมาซื้อสินค้าจากการศึกษาพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคจำนวนมากพบว่าแบรนค์เกาหลี โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอางมีการออกPackaging ที่เน้นความน่ารักออกมาจำนวนมาก

Cr.pic: https://www.marketingoops.com/

2.กลยุทธ์การตลาด ‘เรื่องราว’

Storytelling Marketing

กลยุทธ์การตลาดที่ใช้ถ่ายทอดเรื่องราว สร้างอารมณ์ร่วม เพื่อให้คนเกิดความสนใจและจดจำแบรนด์ การเล่าเรื่องยังทำให้สินค้า/บริหารมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ เพิ่มความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคต่างสนใจในการเล่าเรื่องมากขึ้น โดยการใช้สื่อต่างๆที่อยู่ในโลกโลกออนไลน์เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดย หหากเราไม่ถูก หรือเราไม่เป็นก็อาจจะทำให้คนที่ได้รับข้อมูลเกิดความไม่เข้าใจและไม่ซื้อสินค้า นักการตลาด ควรรู้จักวิธีการเล่าเรื่องอย่างถูกต้อง โดยดึงเอาประสบการณ์หรือความรู้ที่อยู่ภายในของผู้เล่าถ่ายทอดออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ถึงความเป็นมา จุดพลิกผัน คือการเล่า ที่สร้างความประทับใจ หรือสร้างบทสรุปในตอนท้าย ว่าเรื่องราวทั้งหมดทำให้เกิดอะไรขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Cr.pic: https://incontent.co/

3 กลยุทธ์การตลาดตรงจุด

 Direct Marketing

เป็นวิธีการส่งเสริมการขาย ที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข้อมูล โดยไม่ต้องใช้คนกลางในการโฆษณา นำเสนอข้อมูล ที่น่าสนใจในช่วงนี้ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายกำลังอยากได้อะไร กำลังมองหาอะไร  และถ่ายทอดเนื้อหาการสื่อสารออกไปให้เข้ากับลูกค้ามากที่สุด การใช้สื่อออนไลน์และข้อมูลที่มีทำการตลาดหรือสื่อสารออกไปอย่างไรที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราช่างเป็นแบรนด์ที่เข้าอกเข้าใจเขามากที่สุด 

Cr.pic: https://www.pangpond.com/

4.กลยุทธ์การตลาดของคนชอบอวด

Bragger Marketing  โดยใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยา ในการอวดของผู้บริโภคเขาจากการศึกษาได้บอกไว้ว่าการผ่านการโพสต์อวดสินค้าแบรนด์เนมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า หรืออาหารหรือการแชร์บนโลก อินเตอร์เน็ตนั้น จะเกิดความอยากได้อยากมี แต่อวดกับเขาบ้าง โดยได้ศึกษาพฤติกรรมส่วนใหญ่ เพื่อสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนไปเป็นการอวดที่ส่งผลดีต่อธุรกิจ 

Cr.pic: https://mthai.com/other/249623.html

การคิดหากลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้ากับธุรกิจของคุณได้อาจทำให้คุณรู้สึกสึกสับสนและส่งผลให้ธุรกิจของคุณชะงักงันได้ คุณจำเป็นต้องคิดในเชิงกลยุทธ์และใช้ใจในการทำ 4 กลยุทธนี้เป็นตัวอย่างกลยุทธที่นิยมทำกันไทยซึ่งอยู่กับการปรับใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร

อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร

Influencer (อินฟลูเอนเซอร์) คือใคร ทุกคนอาจจะเห็นตามช่องทางต่าง ๆเช่น เพจ, อินสตาแกรม, เฟซบุ๊ค, ยูทูบ โดยเป็นผู้ที่ทำคอนเทนต์แล้วนำมาเผยแพร่ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆของตนเอง ยิ่งมีผู้ติดตามมากก็ยิ่งได้รับคสามสนใจ ผู้ติดตามยิ่งมีการบอกต่อ แชร์ต่อและเพิ่มการจดจำของแบรนด์ได้ดีอีกด้วย

Cr.pic:https://www.marketingoops.com/

ข้อดีของการจ้าง ผู้ที่มีอิทธิพลบนโซเชียล

1. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายกว่า

เนื่องจากในปัจจุบันมีร้านค้าออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย ส่งผลให้การเข้าถึงลูกค้ายากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นการสื่อสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางมานำเสนอให้ผู้รับสารรู้สึกถึงความใกล้ชิดมากกว่า เป็นคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของตัวเอง หรือมีความคิดเห็นต่าง ๆเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ข้อเสนอ ที่ได้รับพร้อมกับกลุ่มผู้สนใจและผู้ซื้อ ทำให้การโฆษณามีความน่าเชื่อถือสูงและมีการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการตลาดแบบบอกต่อ ซึ่งอาจได้ผลตอบรับที่ดีเลยทีเดียว

2. มีผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในปัจจุบันและอนาคต

การจ้างอินฟลูเอนเซอร์ทำให้แบรนด์มีความเป็นจริงมากกว่าเพราะเมื่อเทียบกับผู้มีชื่อเสียงจากสื่อหลัก อินฟลูเอนเซอร์มักจะจับต้องได้และผูกพันกับผู้ติดตามมากกว่า นั่นทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น นอกจากนี้ การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้เหมาะสมกับแบรนด์จะสามารถเปิดโอกาสให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ได้ เช่น การขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จากกลุ่มนักเรียน นักศึกษา มายังกลุ่มคนทำงาน เมื่อมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้สามารถเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้โดยการใช้อินฟลูเอนเซอร์อย่างเช่นบิวตี้บอกเกอร์ ดารา และ นักแสดง เป็นต้น

Cr.pic:https://www.cotactic.com/

3. สามารถวัดและประเมินผลได้ง่าย

ไม่เหมือนกับสื่อประเภทอื่น คอนแทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์เกือบทั้งหมดอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ นั่นทำให้แบรนด์สะดวกมากเมื่อต้องการวัดผลการดำเนินงาน โดยอาจดูจากยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดคอมเมนต์ ยอดการเข้าถึง หรือยอดการมีส่วนร่วม รวมไปถึงการตรวจสอบติดตามผ่านช่องทางต่างๆ ต่อไป

Cr.pic:https://www.officemate.co.th/

4. เพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์

การทำตลาดทุกรูปแบบ แน่นอนว่าต้องมีเป้าหมายในการเพิ่มยอดขาย ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์นั้นช่วยทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าและบริการ และมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นกว่าการตลาดออนไลน์แบบอื่นๆ นอกจากนี้เรายังสามารถกระตุ้นการสั่งซื้อของลูกค้าให้เกิดขึ้นและขายสินค้าได้ หรือไปใช้บริการได้โดยการกำหนดโค้ดส่วนลด จึงถือโอกาสดีที่ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักและครองใจลูกค้าต่อไป

Cr.pic:https://www.prosoftibiz.com/

5.การนำข้อมูล ข้อเสนอแนะ คำติชมไปใช้งานต่อ

เมื่อแบรนด์ได้ใช้เคมเปญต่าง ๆแล้ว ทำให้แบรนด์มีข้อมูลนำมาวิเคราะห์ต่อได้ว่า โพสต์แบบไหนคนชอบเยอะ รูปภาพหรือวิดีโอแบบไหนผลตอบรับดี มียอดขายเพิ่มขึ้น เพื่อนำข้อมูลไปใช้งานต่อทั้งบนช่องทางของแบรนด์เองต่อไป

Cr.pic:https://www.cigna.co.th/

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

การตลาดสุดปัง ด้วยวิธีInbound and Outbound Marketing

การตลาดสุดปัง ด้วยวิธีInbound and Outbound Marketing

      ในยุคปัจจุบัน การตลาดสามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องเสียเงินค่าการตลาดเยอะ เพราะไม่ใช่โลกที่โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว   ในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส สายการตลาดไม่มีใครไม่รู้จัก Digital Marketing ซึ่งการตลาดแบบนี้สามารถช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจหรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Inbound Marketing หรือการทำการตลาดเพื่อผู้บริโภคจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าเราในเชิงบังคับนั่นคือ Outbound Marketing หากเราเลือกกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะกับประเภทธุรกิจของเรา จะส่งผลให้เราประสบความสำเร็จได้ ในตอนนี้เราขอนำเสนอ Inbound Marketing ที่เหมาะกับธุรกิจ B2B

Cr.pic; https://greendigitalagency.com/what-is-inbound-marketing/

1.การทำการตลาด ต้องเน้นเจาะลึกกลุ่มเป้าหมาย

    ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการทำการตลาด เพราะ การทำการตลาดโดยที่ไม่เจาะจงลูกค้า จะทำให้การทำการตลาดของเราไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราจริงๆ การทำการตลาด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรทำการตลาดในช่องทางอื่นด้วย เพราะหากมีการเปลี่ยนอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม เราก็ต้องปรับปรุงคอนเทนต์ให้ตรงใจสิ่งที่อัลกอริทึมเปลี่ยน

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

2. คอนเทนต์ที่ดี ต้องเน้นคุณภาพ

     ยุคนี้เป็นการทำการตลาดด้วยคอนเทนต์ เพราะผู้คนอยู่ในโลกโซเชียลมากขึ้น ทำให้เสพสื่อผ่านทางโซเชียลมิเดียมากขึ้น ในแง่การผลิตคอนเทนต์ การที่จะใช้คอนเทนต์มาดึงดูดลูกค้าต้องเน้นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ให้ประโยชน์กับผู้อ่านคอนเทนต์มากกว่าการจูงใจให้ซื้อสินค้า ยิ่งเราทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์และความรู้จากคอนเทนต์เรามากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผู้ให้มากเท่าไหร่ จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของเรา ทำให้ลูกค้าเชื่อว่าเราเป็นกูรูเรื่องนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้วการทำเว็บไซต์ของแบรนด์ให้ติดหน้าแรกด้วยคอนเทนต์คุณภาพอย่าง seo

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า

  การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ลูกค้าหันมาสนใจสินค้าของเราได้ เช่น เราทำคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพ ทำให้คนที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และสนใจสินค้าของเรามากขึ้น

Cr.pic; https://leadg2.thecenterforsalesstrategy.com

4. เรียนรู้จากกรณีศึกษา

   การเรียนรู้การทำการตลาดของคู่แข่งที่มีผลิตสินค้าใกล้เคียงกัน ถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินทุนในการทำการตลาดเอง และการทำการตลาดแบบ Offline ยังได้ผลอยู่

    สุดท้ายแล้วเราควรทำการตลาดแบบ Inbound Marketing และ Outbound Marketing ไปพร้อมๆกัน ซึ่งให้ผลลัพธ์ในระยะยาว อาจไม่เห็นผลในทันทีและระยะสั้น แต่ไม่ยั่งยืน การตลาดทั้งสองแบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะฉะนั้นแล้วควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เทคนิคการวางแผนการตลาดยังไงให้ยอดขายปัง

เทคนิคการวางแผนการตลาดยังไงให้ยอดขายปัง

   การทำธุรกิจ นอกจากจะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำกิจการ ยังต้องมีแผนการตลาดที่ดีจะได้นำพาธุรกิจไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ โดยการที่เราจะมีแผนการตลาดที่ดี เราต้องวางแผนการตลาดอย่างรอบคอบ วางแผนงบประมาณการตลาดอย่างคุ้มค่า ใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ

Cr.pic; https://xn--12cas3c2av3m3a0g7c.com/

   สำหรับมือใหม่แล้ว แผนการตลาดที่ดี ควรวางแผนยังไง ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง วางแผนอย่างอย่างไรให้เห็นผลลัพธ์ได้จริง

   แผนการตลาดเป็นการวางแผนการทำกลยุทธ์ทางการตลาด  ว่าต้องมีกิจกรรมกระตุ้นยอดขายอะไรบ้าง ทำแล้วควรได้ผลลัพธ์อย่างไร วัดผลด้วยวิธีใด งั้นเราไปดูพร้อมๆกันเลยว่าแผนการตลาดที่ดีประกอบด้วยอะไรบ้าง นั่นคือ เป้าหมายการตลาดธุรกิจ รายงานสถานการณ์ธุรกิจ ไทม์ไลน์ KPI ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของเรา และลูกค้าของตลาดที่เราทำอยู่ ซึ่งแผนการตลาดที่ดี ควรตอบคำถามว่าเราขายอะไร กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราเป็นใคร ยิ่งลงรายละเอียดถึงอาชีพ อายุ ไลฟ์สไตล์ ของลูกค้าได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ธุรกิจต้องทำอย่างไรถึงจะบรรลุเป้าหมายการเพิ่มยอดขายที่วางไว้ และสุดท้ายคือการวัดผลทางการตลาด ใช้อะไรเป็นตัววัดผล หลังจากที่เราเข้าใจว่าแผนการตลาดต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้างแล้ว เรามาเจาะลึกแต่ละ step เพื่อให้เข้าใจการวางแผนการตลาดไปพร้อมๆกันดีกว่า

     Cr.pic; https://toancao.com/

  1. ตั้งเป้าหมาย ก่อนจะสร้างแผนการตลาดเราต้องตั้งเป้าหมายก่อน เพื่อให้คนในองค์กรรู้ว่าธุรกิจต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร โดยใช้หลัก SMART GOAL คือ เจาะจง วัดผลได้ ทำได้จริง เป็นจริงได้ กำหนดระยะเวลาที่จะทำสำเร็จ บางบริษัทอาจใช้ KPIs เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของการทำการตลาด

Cr.pic; https://thegrowthmaster.com/

  •  ทำความรู้จักตัวเองและรู้จักตลาด โดยก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับตนเอง เพื่อที่เราจะวางแผนได้อย่างครอบคลุมรัดกุม และเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดได้ได้เหมาะสม เราจะต้องรู้จักตัวเองและตลาดให้ดีก่อน โดยเริ่มเข้าใจที่จุดอ่อน จุดแข็งของธุรกิจเรา มีอะไรบ้างที่แข่งขันทางการตลาดกับคู่แข่งได้ สิ่งไหนที่ควรปรับปรุง และพัฒนาต่อไป ด้วยการใช้ SWOT Analysisมาทำความรู้จักกับธุรกิจตนเองและตลาดที่เราทำธุรกิจอยู่พร้อมกับทุกคนในบริษัท และควรทำวิจัยหรือวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด อุปสงค์ อุปทาน หาจุดต่างหรือจุดเด่นของธุรกิจเราที่ไม่เหมือนใคร เพราะมันจะกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้เราสู้กับแบรนด์อื่นได้

Cr.pic; https://www.bangkokbanksme.com/

  • กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน  โดยใช้เทคนิคลูกค้าในอุดมคติ หรือเราจะหาลูกค้าจากการทำแบบสอบถาม โดยสิ่งที่ต้องมีคือ ข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า อาชีพ เงินเดือน เพศ อายุ ปัญหาของเขา แล้วทำไมเขาควรใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา เป้าหมาย พฤติกรรม ไลฟสไตล์ สิ่งที่สนใจ

Cr.pic; https://trendydigitalagency.com/

  • เข้าใจ customer journeyว่ากว่าลูกค้าจะมาซื้อสินค้าของเรา ต้องมีขั้นตอนอย่างไร ลูกค้าต้องพบปัญหาอะไร และเลือกใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่น ทำโปรโมชั่น ใช้การตลาดแบบปากต่อปาก เป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด แต่ได้ประโยชน์สูงสุด
  • เลือกช่องทางการตลาด วางแผนตั้งงบประมาณ และวางแผนไทม์ไลน์ว่าแต่ละช่วงเวลควรทำอะไร และวัดผลทุกครั้ง เพื่อปรับแผนการตลาดให้ดีขึ้นต่อไป

    บทความนี้ก็พูดถึงคอนเซ็ปการทำการตลาดที่ดี เรื่องทำการตลาด เป็นสกิลที่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ต้องค่อยๆเรียนรู้เพื่อหาแผนการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และการตลาดเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามยุคสมัย เพราะฉะนั้ต้องคอยอัพเดตเทรนด์การตลาดนะคะ หวังว่าทุกท่านจะนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตนเองได้นะคะ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

นักขายเก่งๆ เขาขายอย่างไร?

นักขายเก่งๆ เขาขายอย่างไร

            ทักษะการขายเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักขาย เป็นผู้บริหารที่เป็นเจ้าของธุรกิจ SME คุณต้องมีโอกาสได้ผ่านการขาย ไม่ว่าจะเป็นขายสินค้า หรือขายไอเดีย บทความนี้จึงนำเสนอ 5 ทักษะการขาย เพื่อให้คุณนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณที่มีอยู่

            ทักษะที่ 1 เริ่มต้นแบบธรรมดา ธรรมชาติ อย่า Overmatching

          ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่อยากจะคุยกับนักขายที่ต้องการตื้อขายสินค้า การที่คุณเจอลูกค้าครั้งแรกแล้วคุณปล่อยพลังเต็มที่แบบ Overmatching ใส่ลูกค้าเลย ลูกค้าจะสร้างกำแพงใส่คุณ และไม่ค่อยอยากจะยอมรับข้อมูลที่คุณนำเสนอ เพราะกลัวคุณจะตามตื้อขายสินค้ากับเค้า ดังนั้นการเจอลูกค้าครั้งแรก การทักทายแบบธรรมดา ธรรมชาติ คุณจะดูเป็นมืออาชีพมากกว่า นักขายที่เก่งๆ เค้าจะผูกเรื่องสนทนาของเค้าแล้วโยงที่ไปธุรกิจของลูกค้า และพยายามจะคุยเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในธุรกิจของลูกค้าที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อที่จะสามารถนำเสนอการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ถูกจุดนั่นเอง

            ทักษะที่ 2 การสร้างภาพลักษณ์เป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่กำลังเสนอขาย ถ้าคุณโชคดีเป็นวิทยากร เป็นอาจารย์ที่เคยจัดอบรมมาก่อน ยิ่งได้เปรียบ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่เขาจะตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการ เค้าก็จะซื้อกับคนที่มีความเชี่ยวชาญในสินค้าหรือบริการนั้นๆ ดังนั้นถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่วิทยากร หรือ อาจารย์ แต่คุณก็สามารถที่จะสร้างภาลักษณ์ในการเป็นผู้เชี่ยวชาญให้กับลูกค้าเห็นได้ ยิ่งในยุคสมัยใหม่ คุณอาจจะใช้ social media โดยทำเป็น คลิปวิดีโอลงในยูทูปที่เป็นช่องของคุณ ลูกค้าก็จะเชื่อถือคุณมากขึ้น

            ทักษะข้อที่ 3 ไม่กดดันให้ลูกค้าซื้อ แต่เน้นการตอบคำถามคาใจให้หมดจด นักขายในระดับแนวหน้าเขาจะไม่ใช้เทคนิคการขายเหมือนนักขายทั่วๆไป คือเร่งให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อด้วยโปรโมชั่น เช่น โปรโมชั่นวันนี้เป็นวันสุดท้าย ถ้าลูกค้าอยากได้ราคานี้ต้องซื้อวันนี้เลย แต่นักขายเก่งๆเขาจะเน้นการหาข้อมูล เน้นการทำการบ้านเพื่อจะตอบปัญหาคาใจของลูกค้า เน้นการแก้ปัญหาให้กับลูกค้า โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อกับนักขายที่ช่วยเค้าค้นหาข้อมูล นักขายที่ช่วยเค้าทำการบ้าน ช่วยแก้ปัญหาให้เค้า มากกว่าปัจจัยเรื่องราคาเพียงอย่างเดียว

            ทักษะข้อที่ 4 วางแผนให้มีลูกค้าอยู่ในมือเสมอ ทักษะข้อนี้จะทำให้คุณแตกต่างจากนักขายทั่วไป และจะทำให้คุณเป็นยอดนักขายตลอดกาล นักขายที่เก่งเขาจะไม่เน้นแค่การคุยแล้วปิดการขายให้มากที่สุด แต่เขาจะมุ่งวางแผนว่าในแต่ละเดือนเค้าจะมีลูกค้ากี่คน แล้วก็จะหาลูกค้าใหม่ หากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ในแต่ละเดือนว่าจะมีจำนวนลูกค้าเท่าไหร่ สิ่งนี้จะทำให้นักขายเก่ง     มียอดขายที่คงที่ ไม่ขึ้นๆลงๆในแต่ละเดือน คุณต้องไม่ลืมว่า ทุกคนมีเวลาในแต่ละวันเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าคุณวางแผนว่ามีลูกค้าอยู่ในมือเท่าไหร่ในเดือนนี้ เดือนหน้า เดือนถัดไป ลูกค้ามีใครบ้างในแต่ละเดือน มันจะทำให้คุณสามารถบริหารเวลาในการขายของคุณได้อย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

            ทักษะข้อที่ 5 กระตุ้นให้ลูกค้าร่วมบทสนทนาอยู่ตลอดเวลา  ในการนำเสนอสินค้า นักขายที่ดีจะไม่พูดอยู่ตลอดเวลาคนเดียว หรือพูดในเวลาที่นานๆ นักขายเก่งๆ จะค่อยๆนำเสนอและหยุดเป็นช่วงๆเพื่อถามลูกค้า เช่นถามความคิดเห็นของลูกค้าในข้อมูลที่ได้นำเสนอ หรือตั้งคำถามว่าข้อมูลที่นำเสนอไปจะช่วยธุรกิจของลูกค้าได้ไหม? ช่วยได้อย่างไร? ซึ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่ทำให้ลูกค้าต้องมีส่วนร่วมตลอดเวลา 

            เชื่อว่าคุณจะได้ความคิด บางอย่างจาก 5 ทักษะที่นำมาฝาก โดยการนำไปปรับใช้กับธุรกิจ หรือการขายของคุณ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างรวดเร็ว

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

 หนึ่งเคล็ดลับทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

หนึ่งเคล็ดลับทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ1

       ครั้งนี้ โค้ชแบงค์ สุภกฤษ กุลชาติวิจิตร หนึ่งในกูรูแห่งการขายจะมาแนะนำ  หนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จ ไปดูกันว่า เคล็บลับที่โค้ช แบงค์ เอามาแนะนำนั้นคืออะไร

          ถ้าคุณอยากสำเร็จทางธุรกิจในโลกออนไลน์ คุณต้อง ทำสวนทางกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกัน นั่นก็คือคนส่วนใหญ่ไปทางซ้าย คุณต้องไปทางขวา คนส่วนใหญ่ไป A คุณต้องไป B  นั่นหมายถึงคือการสร้างการทำความแปลกความแตกต่าง  เพราะสิ่งที่จะตรึงตรา ตรึงใจคน ถ้ามันเหมือนๆกัน

เค้าก็ไม่ดูคุณ เค้าไปดูคนอื่นก็ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องทำอะไรที่มันแปลก คุณสังเกตเห็นไหมว่า เมื่อก่อนการขายต้องพูดจาเพราะ แต่พอมีคนหนึ่งที่ขายแล้วพูดหยาบ ขายไปด่าไป ปรากฏว่าคนติดตามดูสินค้าและซื้อ  การขายปกติแต่งชุดธรรมดาขาย แต่พอมีคนหนึ่งแต่งชุดเซ็กซี่ขายก็ดัง หรือบางคนแต่งชุดไทยมาขายก็ดัง การขายบางคนต้องแต่งหน้าสวย บางคนแต่งหน้าเป็นแมวดัง การขายขนมโดนัทตรงไฟแดงส่วนใหญ่แต่งชุดธรรมดา พอมีคนแต่งชุดซุปเปอร์แมนมาขายก็ดัง คนส่วนใหญ่นั่งขายแบบธรรมดา

แต่บางคนขายไปเต้นไปก็ดัง ดังนั้นอะไรก็ตามที่ทำแล้วสวนทางกับคนทั่วไป มักจะดัง เพราะคนจะสนใจสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เค้าเห็นในชีวิตประจำวัน นี่คือเคล็ดลับของการทำตลาดออนไลน์ ดังนั้นเมื่อคุณทำตลาดออนไลน์ หน้าที่ของคุณคือคุณต้องแย่งตาของคนดู แย่งตาของลูกค้า  แย่งเวลาของคนดูแย่งเวลาของลูกค้า ดังนั้นการแย่งตาแย่งเวลา ก็ต้องเสนอความแปลกแตกต่าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ อะไรที่มันเหมือนกันอะไรที่มันทั่วๆไปเค้าก็ไม่สะดุดตา ไม่สนใจ  อย่างคุณขึ้นรถไฟฟ้า หรือ ขึ้นรถเมล์ก็ตาม

ใครที่แต่งตัวธรรมดาๆ ทั่วไป คุณก็เฉยๆ แต่ถ้ามีคนหนึ่งแต่งชุดไทยขึ้นมาคุณก็จะมองเพราะ มันแปลก  นั่นคืออะไรก็ตามที่มันแปลกคนจะมอง ซึ่งสงครามของการตลาดออนไลน์คือสงครามของการแย่งสายตา แย่งเวลา ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือทำสวนทางกับคนส่วนใหญ่ทำ คุณก็จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นไปคิดมาว่า คุณจะหาวิธีไหน จะต้องแบบไหนที่คนส่วนใหญ่เค้าไม่ทำกัน หาความแตกต่าง สร้างความแปลกจากคนทั่วๆไป คนที่เป็นคู่แข่งของคุณ แล้วสร้างความแปลกที่สะดุดตา เป็นเอกลักษณ์ให้สามารถแย่งสายตาของคนมาให้ได้ ถ้าคุณทำได้คุณก็จะชนะในสงครามของการแย่งสายตาของการทำธุรกิจในตลาดออนไลน์ คิดแล้วลงมือสร้างความแปลก เพื่อความสำเร็จกันได้เลย

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

สิ่งสำคัญที่คุณต้องมี แล้วจะขายดีทุกอย่าง

สิ่งสำคัญที่คุณต้องมี แล้วจะขายดีทุกอย่าง

          เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณมีสิ่งนี้ ลูกค้าจะซื้อของคุณง่ายมากๆ นั่นคือคุณต้องสร้าง Trust หรือ ความมั่นใจให้กับลูกค้า เพราะเมื่อใดก็ตามที่ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในตัวคุณ ไว้วางใจในตัวคุณ ลูกค้าจะซื้อของคุณง่ายมาก ไม่ว่าคุณจะขายอะไร ทั้งในระบบ  online และ offline แล้วจะทำอย่างไรจึงคุณจึงจะสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้

สิ่งสำคัญที่คุณต้องมี แล้วจะขายดีทุกอย่าง

            ยกตัวอย่างให้คุณได้เข้าใจง่ายขึ้นว่าความเชื่อมั่นมีความสำคัญอย่างมาก  มีตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับความเชื่อมั่นตัวอย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้คุณเสียเงินย่างง่ายๆ โดยที่คุณยังไม่ทันได้รู้จักสินค้าเลยด้วยซ้ำ ก็คือตัวอย่างเรื่อง กล่องสุ่ม ทำไมกล่อง 1 กล่องที่คุณไม่รู้เลยว่าอะไรอยู่ในกล่อง แต่คุณโอนไปแล้ว 100,000  ทำให้รวม ๆ แล้วเจ้าของกล่องสุ่มได้ 100 ล้านบาท ทั้งๆที่คุณเองยังไม่เคยรู้เลยว่า ข้างในกล่องนั้นมีอะไร คุณสมบัติของในกล่องเป็นอย่างไร ส่งเมื่อไหร่ คุณไม่รู้อะไรเลย คุณรู้แค่ว่านั่นคือ

สิ่งสำคัญที่คุณต้องมี แล้วจะขายดีทุกอย่าง

กล่อง 1 กล่อง แต่ทำไมคุณถึงยอมเสียเงิน  นั่นก็เพราะคุณTrust  คุณมีความมั่นใจ ในเจ้าของกล่องสุ่มนั้น  ว่าเค้าจะให้สิ่งดีๆที่คุ้มค่ากับคุณ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่คุณสามารถสร้าง Trust ให้กับลูกค้าได้ ลูกค้าก็พร้อมจ่าย เท่าไหร่ก็ได้ แล้วคุณจะสร้างTrustได้อย่างไร บอกเลยว่าตอนนี้ใน online สร้างTrust ได้ง่ายมาก คือคุณต้องสร้างตัวตนในโลก online โดยต้องทำตัวให้คนรู้จัก เพราะเมื่อเค้ารู้จักคุณ เค้าจะรู้ว่า อ้อ คนนี้เอง หน้าตาแบบนี้ คนนี้เขาไม่หลอกเราแน่  เรารู้จักเขาดี  และเมื่อลูกค้ามั่นใจว่าเค้าจ่ายเงินไปแล้ว

สิ่งสำคัญที่คุณต้องมี

เค้าจะได้สิ่งดีๆกลับคืนมา เค้าก็จะจ่าย คุณไม่ต้องเป็นแม่ค้าอย่างพิมรี่พายก็ได้ แต่ถ้าคุณต้องทำให้ลูกค้าเชื่อว่าคุณเป็น Expert เป็นผู้มีความรอบรู้ มีความชำนาญในเรื่องสายงานของคุณ เช่นคุณเป็นร้านขายนาฬิกา คุณก็ออกมาให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษานาฬิกาที่เป็นสายหนัง ดูแลรักษาทำความสะอาดนาฬิกาที่เป็นสาย stainless steel ความรู้เรื่องการเปลี่ยนถ่านนาฬิกา การเลือกนาฬิกาให้เหมาะกับการใช้งาน การเลือกนาฬิกาให้เหมาะกับบุคลิก เหมะกับอาชีพ ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องในสิ่งที่เกี่ยวกับสินค้าของคุณนี่คือการทำตัวเป็นมืออาชีพ หรือถ้าคุณขายรถมือสอง

คุณก็ออกมาให้ความรู้เรื่องวิธีดูว่ารถคันนี้เคยชนหนักมาไหม? เคยจมน้ำไหม?  วิธีการดูรถมือสองที่ดี  การเลือกรถ รุ่นของรถ ข้อดีข้อเสียของรถแต่ละรุ่น สรุปคือเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสามารถสร้างตัวตนของคุณให้เป็น Expert  ในเรื่องนั้นๆได้ ลูกค้าก็จะเชื่อใจคุณ และเมื่อลูกค้ามีความเชื่อใจคุณ มีความTrust ในตัวคุณ คุณจะขายอะไรก็ได้ เพราะลูกค้าจะซื้อของจากคนที่มีความรู้ความชำนาญในสินค้านั้นๆ เพราะเขาเชื่อมั่นว่า คุณจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในสินค้าประเภทนั้นๆมาให้กับเค้า ดังนั้นจงเร่งสร้างTrust ถ้าคุณอยากขายดี

          ขอขอบคุณสาระความรู้จากโค้ช แบงค์ สุภกฤษ กุลชาติวิจิตร กูรูแห่งเพจ รู้รอบตอบโจทย์ธุรกิจ และวิทยากรฝึกอบรมเกี่ยวกับธุรกิจที่มีลูกศิษย์อยู่ทั่วประเทศ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เปิดกลยุทธ์ปั้นแบรนด์ด้วย Story telling

Story telling

      ทุกวันนี้มีคู่แข่งในธุรกิจเดียวกับเรามากมาย แต่ทำอย่างไรถึงจะแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เพื่อให้เราโดดเด่นกว่าคู่แข่งและเป็นที่น่าจดจำของผู้บริโภค การสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคจดจำได้ผ่านการเล่าเรื่องด้วยเทคนิค Story Telling ในยุคที่ทุกแบรนด์ต่างมีสื่ออยู่ในมือแบบเท่าเทียมกัน

การที่จะนำเสนอตัวแบรนด์และสินค้าของตัวเองให้กับผู้บริโภคได้อย่างไร้ขีดจำกัดและไร้พรมแดน คือการทำ Brand Story telling ที่สร้างการจดจำและความรู้สึกร่วมของผู้บริโภคจนเกิดเป็นความผูกพันกับแบรนด์ เหมือนการมีแฟนคลับคอยติดตามแบรนด์ เพราะว่าหากผู้บริโภคจดจำได้ มีความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ เมื่อนึกถึงสินค้าในตลาดกลุ่มนี้ก็จะนึกถึงแบรนด์เราเป็นอันดับแรก เรียกได้ว่า Story telling ถึงจะเป็นเทคนิคในการสร้างแบรนด์ที่เก่าแล้ว แต่ยังใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย สามรถทำให้ธุรกิจก้าวสู่การเป็นดาวเด่นของตลาดนั้นๆได้

       ทำไมต้องทำ Story telling เนื่องจากจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึก และอินไปกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น มากกว่าการให้ข้อมูลแบรนด์แบบทั่วไป เพราะว่าการเล่าเรื่องนั้นจะกระตุ้นสมองหลาย ๆ ส่วน เช่น ส่วนการประมวลผลภาพ เสียง กลิ่น การเคลื่อนไหว และความคิด นอกจากนี้สมองยังทำการจดจำ สร้างอารมณ์เข้าไปร่วมในเวลาการเล่าเรื่อง นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญว่าทำไมผู้ประกอบการในยุคนี้ถึงควรปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอจากข้อเท็จจริงมาสู่รูปแบบของ Story telling

      การทำ Brand Story telling จะต้องมีความชัดเจนมากๆ ต้องหา Emotional Connection ให้เจอ หรือที่เรียกว่าการเชื่องโยงด้วยความรู้สึกและอารมณ์ร่วมกับกลุ่มเป้า  และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีอย่างคือความเหมาะสมกับธุรกิจที่แตกต่างกันไป เพื่อทำให้แบรนด์ของมีเอกลักษณ์ แตกต่างจากคู่แข่ง สร้างความผูกพันของแบรนด์กับผู้บริโภค และมีเสน่ห์

ความสำคัญของ Storytelling อย่างน้อยๆ ก็ช่วยแสดงให้เห็นถึง ‘ทัศนคติ-จุดยืน’ ของธุรกิจ ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวโดยมีจุดประสงค์แฝงเบื้องหลัง เพื่อดึงดูดทั้งผู้บริโภค และนักลงทุนหน้าใหม่ๆ โดยเฉพาะเหล่าสตาร์ทอัพ ค่อนข้างมีความจำเป็นที่จะสร้าง Storytelling เพื่อดึงดูดการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มเป้าหมายด้วย

3 สูตรการเล่าเรื่อง Storytelling ให้แบรนด์ของคุณเป็นที่น่าจดจำ

1 วิธีที่คุณจะสร้างคอนเทนต์ตัวเองโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด คือการสร้างเรื่องราวของแบรนด์คุณให้มีเอกลักษณ์ น่าสนใจ และแตกต่าง ใช้วิธีการเล่าเรื่องหรือ Storytelling ที่เข้าใจได้ง่ายและแบ่งปันประสบการณ์ที่ท้าทายของคุณเอง ปัญหาต่าง ๆ ที่คุณเจอและวิธีรับมือ ความสำเร็จและคุณค่าของแบรนด์ของคุณที่ไม่มีแบรนด์ใดจะสามารถลอกเลียนแบบได้

สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เมื่อคุณกำลังสร้างคอนเทนต์ขึ้นมา ให้คุณนึกถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการจากคุณอย่างแท้จริง (นอกเหนือจากเรื่องของสินค้าหรือบริการ) คุณลองนึกถึงคุณค่าทางอารมณ์ และสิ่งที่เราสามารถช่วยเหลือลูกค้าของเราได้ มีความเอาใจใส่ สังคม สิ่งแวดล้อม เพื่อนมนุษย์ หรือแม้แต่ทีมงานขององค์กร มากกว่าเรื่องของผลกำไรบริษัท

1. สูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) แบบ Before-After-Bridge

Story telling

 นี่คือหนึ่งในสูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่ได้รับความนิยมและง่ายที่สุดที่จะใช้ในการเล่าเรื่องราวของแบรนด์ และยังสามารถทำการเล่าเรื่องผ่านโซเชียลมีเดีย แคมเปญการตลาด หรือบน Page ได้เช่นกัน สูตรการเล่าเรื่องStorytelling แบบ Before-After-Bridge  เป็นการนำเสนอผู้บริโภคด้วยรูปแบบของปัญหาที่ผู้บริโภคเผชิญ แล้วแบรนด์ของคุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ให้พวกเขาได้ เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นและเริ่มเข้าใจว่าปัญหานั้นควรได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด

ซึ่งแบรนด์เองควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าสิ่งที่ทางแบรนด์ระบุว่าเป็นปัญหามันสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้บริโภคหลายคนกำลังประสบปัญหาอยู่หรือไม่  และควรแสดงให้ผู้บริโภคเห็นว่าเมื่อแก้ปัญหานั้นแล้วมันดีอย่างไร พร้อมทั้งแสดงให้ผู้บริโภคเห็นว่าต้องทำอย่างไรถึงจะไปถึงจุดนั้นได้ เมื่อพวกเขาเห็นแล้วว่าหากได้รับการแก้ไขแล้วจะส่งผลดีอย่างไรบ้างเราจึงควรแสดงให้เห็นว่าแล้วต้องทำอย่างไรถึงจะไปถึงจุดนั้นได้ด้วยการที่มีเรานี่แหละเป็นตัวช่วยเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

Story telling

                                        

2. สูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) แบบ Problem-Agitate-Solve เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการเล่าเรื่องทำความเข้าใจได้ง่ายและสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา  การเขียนคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย สูตรการเล่าเรื่อง

ปัญหา –  ปัญหาที่ผู้บริโภคกำลังเผชิญกับความเจ็บปวด

กวนใจ –  สิ่งที่กวนใจ แล้วขยี้แผลหรือปัญหาตรงนั้นให้ผู้บริโภคมีอารมณ์ร่วม 

แก้ไข – วิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้น แสดงให้เห็นว่าแบรนด์สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร

Story telling

                                         

3 สูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) แบบ Three-Act Structure เป็นสูตรการเล่านิทานสมัยดึกดำบรรพ์ที่ถูกยังคงใช้ได้อยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นในละคร  ภาพยนตร์ หนังสือ การ์ตูน วิดีโอเกม หรือแม้กระทั่งบทกวีก็สามารถใช้ได้ ที่เป็นที่นิยมเพราะเป็นสูตรการเล่าเรื่องที่ประสบความสำเร็จสูตรหนึ่งเลยทีเดียว สูตรการเล่าเรื่องนี้ ประกอบไปด้วย

       ติดตั้ง – แนะนำตัวละครและฉากที่เกิดขึ้น 

      การเผชิญหน้า– การเผชิญกับความท้าทาย เจอกับอุปสรรคปัญหา ในส่วนที่สองนี้มักจะเป็นช่วงที่ยาวที่สุดของเรื่องราวทั้งหมดตัวละครหลักจะเผชิญหน้ากับความท้าทาย เพื่อขัดขวางไม่ให้ตัวละครไปถึงเป้าหมายได้ และจะเพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อย

      การยืนหยัด – การยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาจนก้าวข้ามผ่านอุปสรรคมาได้ จนในที่สุดตัวละครหลักก็จะสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่พวกเขาได้วางไว้ และเรื่องราวก็จบลง

Story telling

                                                  

 4. สูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) แบบ Freytag’s Pyramid สูตรการเล่าเรื่อง Storytelling นั้นประกอบไปด้วย 

การแสดง นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว การแสดงนี้จะแสดงเรื่องต้นเหตุที่ส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ที่จะดำเนินต่อไป

การลุกขึ้นลงมือทำ นี่คือฉากสำคัญของเรื่องเลยหล่ะ เพื่อจะเป็นการเล่าเรื่องให้ไปถึงจุดสำคัญของเรื่อง มักจะเป็นรวบรวมจุดสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดตัวละครพยายามจะแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

จุดสำคัญ เป็นจุดที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวละคร เป็นส่วนที่สำคัญของเรื่องราวที่เจอกับปัญหา และมีความเครียดมากที่สุด  

ล้มเหลว หลังจากเหตุการณ์สำคัญตัวละครอาจจะแพ้หรือชนะกได้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากพบกับอุปสรรคที่เจอแล้ว ตัวละครแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไรจากเหตุการณ์

การยืนหยัด จะเป็นช่วงแก้ไขปัญหาและยืนหยัดด้วยการต่อสู้ เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบนั้นเรื่องมักจะมีความสุขหรืออาจเป็นเรื่องที่เศร้า

Story telling

                                    

5.สูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) แบบ Simon Sinek’s Golden Circle สูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling)

วงกลม 1 : Why – ทำไมถึงมีต้องมีบริษัทเรา บริษัทของเราเกิดขึ้นเพื่ออะไร เป็นการเริ่มตั้งถามให้กับคนในบริษัท

วงกลม 2 : How – ทำสิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างไร? สิ่งที่โดดเด่นของแบรนด์คุณคืออะไร บริษัทเรามีดีกว่าคู่แข่งอย่างไร มีจุดต่างจากคู่แข่งตรงไหน ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรให้กับผู้บริโภคและสังคมได้บ้าง

 วงกลม 3 : What – บริษัทขายอะไร อุตสาหกรรมประเภทใด 

เมื่อทุกคนในองค์กรรู้จักตนเองแล้วว่า บริษัทสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน เป้าหมายที่จะทำเพื่อใคร เช่น บริษัทmicrosoftของบิล เกตท์ สร้างสิ่งที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้น เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟแวร์รายใหญ่ของโลก

                                     

Story telling

6. สูตรการเล่าเรื่อง (Storytelling) แบบ Dale Carnegie’s Magic Dale Carnegie เจ้าของหนังสือขายดีตลอดกาลอย่าง  “How to win friend and influence people” ได้นำเสนอสูตรการเล่าเรื่อง 3 ขั้นตอนง่าย ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้บริโภค และสร้างความน่าเชื่อถือ

อุบัติการณ์ – ประสบการณ์ส่วนบุคคล   โดยการเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของคุณเพื่อช่วยให้ผู้ฟังมีความรู้สึกร่วมกับคุณและพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน

ลงมือปฏิบัติ – แสดงให้ผู้ฟังเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องแก้ไขเหตุการณ์ด้วยการลงมือทำ และได้รับความช่วยเหลือจากแบรนด์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยที่สำคัญ ซึ่งการเล่าเรื่องของคุณต้องมีความชัดเจน เพราะผู้ฟังอาจจะไม่ได้เข้าใจได้ทันที และรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ หลังจากที่ฟังเรื่องราวของคุณ

ประโยชน์ – แสดงถึงความจำเป็นว่าทำไมผู้บริโภคถึงต้องทำตามและผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อะไร

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ทักษะที่ต้องเก่ง ถ้าอยากมียอดขายขึ้น ตอนที่ 2

ทักษะ

3 ทักษะที่ต้องเก่ง ถ้าอยากมียอดขายขึ้น ตอนที่ 2

2 ทักษะที่ โคช แบงก์ “สุภกฤษ กุลชาติวิจิตร” เจ้าของเพจ รู้รอบตอบโจทย์ธุรกิจนำมาแนะนำในบทความตอนที่ 1 ถือว่ามีความสำคัญยิ่งที่คุณต้องฝึกและพัฒนาทักษะทั้ง 2 ให้เก่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในทักษะข้อที่ 3 ในบทความที่สองนี้ นอกจากจะสอนในเรื่องของทักษะแล้วยังมีสาระของขั้นตอนการขายที่สำคัญมากสำหรับนักขายแทรกมาในบทความอีกด้วย ดังนั้นอย่าได้เสียเวลา ไปเรียนรู้กันต่อเลยดีกว่า

3.ทักษะการแก้คำปฏิเสธ  ความลับในการแก้คำปฏิเสธคือ การใช้วิธีการป้องกัน การแก้คำปฏิเสธที่ดีที่สุด คือการไม่ให้เกิดการปฏิเสธ การป้องกันก็คือ คุณต้องทำตามขั้นตอนการขายอย่างเป๊ะๆ อย่าข้ามขั้นตอน ถ้าคุณไม่ข้ามขั้นตอนโอกาสน้อยมากที่จะเกิดการปฏิเสธ

ขั้นตอนการขายคืออะไร ? 

1.คุณต้องเปิดใจลูกค้า เปิดใจให้ลูกค้าเห็นว่าคุณไว้เนื้อเชื่อใจได้ว่าคุณเป็นมืออาชีพทางด้านนี้ เมื่อเปิดใจได้เข้าสู่ขั้นตอนที่ 2

2.การสอบถามปัญหาลูกค้า คุณต้องสอบถามเพื่อหาแผลของลูกค้าให้เจอ

3.การนำเสนอสินค้า เมื่อคุณเจอแผลลูกค้าแล้ว ว่าปัจจุบันลูกค้าอยู่จุดนี้ และสิ่งที่ลูกค้าต้องกการเป้าหมายของลูกค้าอยู่อีกจุด คุณก็ทำหน้าที่นำเสนอสะพานที่จะนำไปสู่เป้าหมายของลูกค้า

4.การตอบข้อโต้แย้ง ซึ่งจะเกิดน้อยมาก ถ้าคุณทำตามขั้นตอน 1,2,3

5.ขั้นตอนสุดท้ายคือ การปิดการขาย ซึ่งถ้าคุณข้ามขั้นตอน ไม่เปิดใจ ขายเลย ลูกค้าอาจไม่ไว้วางใจคุณ ปัญหาที่เกดขึ้นคือเค้าจะปฏิเสธ เค้าจะขอคิดดูก่อน ขอกลับไปถามแฟนก่อน เพราะเค้าไม่ไว้ใจคุณ

ดังนั้นทักษะที่ 3 คือการแก้คำปฏิเสธ ซึ่งการแก้ที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิเสธ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าของคุณราคาแพง ให้คุณเริ่มต้นในแนวทางที่พูดว่า “ คุณลูกค้าครับ ก่อนที่ผมจะบอกราคาสินค้าตัวนี้ ผมขออนุญาตเล่าให้ฟังนิดหนึ่งนะครับว่า ตอนที่เราจะผลิตสินค้าชิ้นนี้ บริษัท มีตัวเลือกอยู่ 2 ตัวเลือกในการผลิต ตัวเลือกแรกคือผลิตสินค้าแค่พอใช้งานได้ แล้วทำราคาถูกเจาะตลาดล่าง ส่วนอีกตัวเลือกหนึ่งคือทำสิ้นค้าให้ได้ดี ใช้ได้นาน ราคาอาจจะสูงหน่อย แล้วเจาะตลาดบน สุดท้ายบริษัทดูราคาเพื่อผลประโยชน์ของลูกค้าบริษัทจึงเลือกใช้ตัวเลือกที่สอง จึงทำให้ของดูเหมือนจะราคาสูงกว่าตลาดเล็กน้อย แต่คุณภาพดีกว่าใช้งานได้นานกว่า” เมื่อพูดประเด็นนี้ไปแล้ว คุณก็บอกราคาลูกค้าได้เลย เพราะคุณได้ตีกรอบความคิดลูกค้าไปแล้ว แล้วลูกค้าจะไม่พูดว่าสินค้าของคุณแพง เพราะคุณบอกไปแล้วว่าแพงคือตลาดบน ถูกคือตลาดล่าง นี่คือการป้องกันคำปฏิเสธที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้คำปฏิเสธนั้นเกิดขึ้น

รีบฝึกพัฒนาทักษะทั้ง 3 อย่างเข้าใจและให้เร็วขึ้น รับรองว่าในไม่ช้า คุณจะกลายเป็นนักขายมืออาชีพที่มียอดขายให้ใครหลายคนต้องอิจฉาอย่างแน่นอน 

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook