Grayscale ชนะ SEC อนาคต Spot Bitcoin ETF เริ่มสดใส

Grayscale ชนะ SEC อนาคต Spot Bitcoin ETF เริ่มสดใส

Grayscale บริษัทกองทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการฟ้องร้องคดีกับ ก.ล.ต.ของประเทศสหรัฐ ว่าด้วยเรื่องการทำ Spot Bitcoin ETF และคำตัดสินของผู้พิพากษาในศาลวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมาก็ตัดสินให้ Grayscale เป็นฝ่ายชนะคดี และมีคำสั่งให้ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกากลับไปทบทวนใบคำร้อง Spot Bitcoin ETF ของ Grayscale ที่ทาง ก.ล.ต.ปฏิเสธไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือยัง เนื่องด้วยศาลมองเห็นว่าโดยที่ก.ล.ต ทำงานตามอำเภอใจ และมีการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากศาลมองว่าก.ล.ตสหรัฐไม่มีเหตุผลเพียงพอว่าทำไมถึงให้ Future Bitcoin ETF ผ่าน แต่กลับไม่ให้ Spot Bitcoin ETF ผ่านจากการยื่นของบริษัทเดียวกัน ซึ่งการตัดสินในครั้งนี้จะมีผลไม่มากก็น้อยกับการพิจารณารับ Spot Bitcoin ETF ที่ยื่นมาภายหลังไม่ว่าจะเป็นกองทุน Blackrock, Fidelity และกองทุนอื่น ๆ

Bloomberg วิเคราะห์โอกาสผ่าน Spot Bitcoin ETF

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

Eric Balchunas จากสำนักข่าว Bloomberg ได้มีการวิเคราะห์ไว้ว่าชัยชนะของ Grayscale ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทกองทุนที่ยื่นใบสมัคร Spot Bitcoin ETF มาภายหลังไม่ว่าจะเป็น Blackrock, Fidelity และกองทุนอื่น ๆ มีโอกาสที่จะถูกอนุมัติผ่านมากถึง 75% แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่ได้มีการระบุระเวลาที่แน่นอน ซึ่งกำหนดการการพิจารณาใบคำร้องของกองทุนต่าง ๆ จะมีเส้นตายของการพิจารณาอยู่ในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า

นอกจากนี้สำนักข่าว CNBC ก็มองว่าโอกาสอนุมัติให้ Spot Bitcoin ETF ก็สดใสเช่นเดียวกัน โดยคาดการณ์ว่ากองทุนที่ได้มีการยื่นใบคำร้องมาจะได้รับอนุมัติในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งตรงกับเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

แต่ถึงแม้ว่าสำนักข่าวต่าง ๆ จะมีมุมมองไปในทิศทางบวก แต่ในคืนวันที่ 31 สิงหาคมต่อเช้าวันที่ 1 กันยายนตามเวลาในประเทศไทย ก.ล.ตสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการประกาศออกมาว่าได้มีการเลื่อนการพิจารณาคำร้อง Spot Bitcoin ETF ในเดือนกันยายนนี้ออกไป ซึ่งการพิจารณาครั้งต่อไปจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ราคาของ Bitcoin ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของก.ล.ต

ภาพ Pexels/Daniel Dan

ในการวิเคราะห์ราคาของ Bitcoin ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คงต้องใช้ข่าว Spot Bitcoin ETF เป็นหลักในช่วงนี้ จากการเลื่อนการพิจารณาในเดือนกันยายนออกไปทำให้ราคาของ Bitcoin ปรับตัวลงมาที่ 26,000 เหรียญ ซึ่งจะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้งในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจจะทำให้ราคาของ Bitcoin มีการขยับตัวอีกครั้งหนึ่ง และไม่แน่อาจจะมีการลากยาวต่อไปจนถึงปีหน้าเลยทีเดียว เพราะในช่วงพิจารณาคำร้องก.ล.ตก็ต้องต่อสู้กับ Grayscale ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาด้วย ซึ่งในปีหน้าก็จะมี Bitcoin halving โดยจะตรงกับวันที่ 5 เมษายนปี 2024 ถ้าหากว่ามีการประกาศรองรับในช่วงต้นปีหน้าบวกกับเหตุการณ์ Bitcoin halving ก็อาจจะทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซี่กลับมาอยู่ใน Bull run อีกครั้ง

ข้อมูลจาก Watcher.Guru , Cointelegraph , Coindesk

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

FBI ตรวจจับ 6 กระเป๋าเงิน BTC จากแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ

FBI ตรวจจับ 6 กระเป๋าเงิน BTC จากแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ

หน่วยงาน FBI ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตรวจจับกระเป๋าเงินดิจิตอลของ Bitcoin จำนวน 6 ใบด้วยกันได้แก่

  • 3LU8wRu4ZnXP4UM8Yo6kkTiGHM9BubgyiG
  • 39idqitN9tYNmq3wYanwg3MitFB5TZCjWu
  • 3AAUBbKJorvNhEUFhKnep9YTwmZECxE4Nk
  • 3PjNaSeP8GzLjGeu51JR19Q2Lu8W2Te9oc
  • 3NbdrezMzAVVfXv5MTQJn4hWqKhYCTCJoB
  • 34VXKa5upLWVYMXmgid6bFM4BaQXHxSUoL

ภาพ Pixabay/Tumisu

โดยทางหน่วยงาน FBI อ้างว่ากระเป๋าตังค์เหล่านี้เป็นของแฮกเกอร์ประเทศเกาหลีเหนือที่มีชื่อว่า Lazarus Group โดยกลุ่มนี้ขโมยเงินคริปโตเคอเรนซี่มาจากหลายที่เมื่อปีที่แล้ว รวมเป็น 1,580 BTC มูลค่ากว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ FBI สามารถตรวจจับกระเป๋าเงินทั้งหมดนี้ได้ ทางหน่วยงานก็ได้เตือนเรื่องนี้ให้ทางบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคริปโตได้รับทราบ และยังคาดว่ากลุ่มแฮกเกอร์เหล่านี้อาจจะมีการเทขาย ฺ Bitcoin อีกด้วย

และเพื่อความปลอดภัยของเหล่าลูกค้า FBI ได้มีการร่วมมือกับบริษัทคริปโตหลายแหล่งไม่ว่าจะเป็น Huobi และ Binance ในการยับยั้งบัญชีการโอนที่เชื่อมต่อกับประเทศเกาหลีเหนือเกาหลีเหนือซึ่งทั้ง 2 บริษัทสามารถยับยั้งการโอนได้เป็นจำนวนเงินกว่า 1.4 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐด้วยกัน แต่ถึงแม้จะมีการกำกับดูแลและความปลอดภัยมากขึ้น ปัจจุบันนี้การสร้างเหรียญเพื่อมาหลอกลวง หรือการแฮกเงินจากระบบก็ยังคงมีให้เห็นอยู่โดยทั่วไปในโลกของสกุลเงินดิจิตอล ยิ่งทำระบบไม่ดีแล้วแฮกเกอร์ก็ยิ่งมีความสามารถที่จะเจาะระบบเพื่อขโมยเงินได้ง่ายมากขึ้น การลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลของเหรียญที่จะเข้าไปลงทุนให้ดีเสียก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในทรัพย์สินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

นอกจากการควบคุมความเสี่ยงด้วยตัวเองแล้วยังมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามข่าวอยู่อย่างสม่ำเสมอด้วย ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมประเทศสหรัฐได้มีการออกข่าวเกี่ยวกับการขาย Bitcoin เป็นประจำ ในสัปดาห์ก่อน The Wall Street Journal มีการรายงานว่า Space X ได้มีการเทขาย Bitcoin ออกมา ซึ่งทำให้ตลาดลงมาอย่างรุนแรง เชื่อว่าข่าวที่ออกมานั้นคงทำให้นักลงทุนเสียหายไปไม่น้อย ในสัปดาห์นี้ก็มีข่าวเกี่ยวกับแฮกเกอร์ประเทศเกาหลีเหนืออีก ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่มีข่าวออกมาว่ากลุ่มแฮกเกอร์ดังกล่าวได้ทำการเทขาย Bitcoin ออกไป แต่ถ้ามีการเทขายเมื่อไหร่ก็คงจะส่งผลกระทบต่อตลาดไม่น้อยเลยทีเดียว

ข้อมูลจาก Cointelegraph

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อเมริกายังส่อแววขึ้นดอกเบี้ย พาตลาดคริปโตแดง

อเมริกายังส่อแววขึ้นดอกเบี้ย พาตลาดคริปโตแดง

เมื่อเวลาตี 1 ของวันที่ 17 สิงหาคมได้มีการประชุม FOMC ของธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งคณะกรรมการส่วนใหญ่ของ FED ยังคงมองว่าเงินเฟ้อของประเทศยังคงไม่ไว้วางใจทำให้มีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีกในระยะยาวเพื่อลดเงินเฟ้อ โดยประเทศสหรัฐต้องการที่จะลดเงินเฟ้อให้เหลือเพียงแค่ 2% ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มในการขึ้นดอกเบี้ยในระยะยาว แต่ในการประกาศดอกเบี้ยครั้งหน้าจะยังไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย

แต่การขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดเงินเฟ้อตั้งแต่ในช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เกิดขึ้นจากการที่ในช่วงหลังจากพ้นวิกฤตโรคโควิด ประเทศสหรัฐได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบซึ่งทำให้เกิดเงินเฟ้อ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มเร่งกันแก้เงินเฟ้อโดยขึ้นดอกเบี้ยจาก 0.25% มาเป็น 5.50% ในช่วงปี 2022 ถึงปี 2023 ซึ่งโดยปกติแล้วการขึ้นดอกเบี้ยจะขึ้นให้เทียบเท่ากับอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศปัจจุบันประเทศสหรัฐมีเงินเฟ้อที่ต่ำกว่า 5%

ภาพ Pexels/Pixabay

ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยมาเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ดูเหมือนประเทศสหรัฐอเมริกาจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ทำให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐนั้นกำลังเข้าสู่ช่วงสภาวะถดถอย คนตกงานก็เริ่มมีมากขึ้น ซึ่งในมุมนี้ทางคณะกรรมการก็มีความกังวลอยู่บ้างแต่ก็ยังมองว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งอยู่ ในมุมของวิกฤตธนาคารอาจจะมีเกิดขึ้นอีกในปีนี้หลังจากมีการล่มสลายของแบงก์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีความกังวลในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ มีความเป็นไปได้ว่าความต้องการบ้านและที่พักอาศัยอาจจะลดลงอย่างรุนแรง โดยมันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทประกัน

นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐหยุดนิ่งแล้วการที่มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินเฟ้อ ต่อเนื่องทำให้ส่งผลต่อตลาดทุนด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในสหรัฐหรือตลาดคริปโตก็พากันปรับตัวลงเป็นสีแดง

Bitcoin ETF ยุโรปมาแล้ว แต่ BTC ยังลง

ภาพ Pexels/Daniel Dan

Bitcoin เหรียญคริปโตเคอเรนซี่ที่ใหญ่ที่สุด ได้มีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงที่มีประกาศรายงาน FOMC หลังจากที่ได้มีการวิ่งอยู่ในกรอบตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นมาโดยราคาได้หลุดต่ำกว่า 29,000 เหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงเช้าวันที่ 17 สิงหาคม การปรับตัวลงในครั้งนี้ทำให้เหรียญอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาดมีการปรับตัวตามลงมาด้วยเช่นเดียวกัน และ Bitcoin ก็ยังคงติดแนวต้านที่ 31,000 เหรียญ ต่อไป จุดสำคัญคงเป็น Spot Bitcoin ETF ที่จะทำให้ราคาของ Bitcoin ขยับขึ้น ซึ่งตอนนี้ทางยุโรปก็ได้มีกองทุน Jacobi Bitcoin ETF เป็น Spot Bitcoin ETF ตัวแรกขึ้นมาแล้ว นำทางฝั่งอเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ต้องดูว่าทางฝั่งอเมริกาจะตามมาเมื่อใด ในเมื่อ SEC ยังไม่มีความแน่นอน

ข้อมูลจาก efinanceThai , CNBC ,Investing.com

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

PayPal เปิดตัว Stablecoin PYUSD

PayPal เปิดตัว Stablecoin PYUSD

บริษัท PayPal ยักษ์ใหญ่ทางด้านการเงินกระโดดเข้าสู่วงการคริปโตเตรียมสร้างเหรียญ Stablecoin ที่มีชื่อว่า PYUSD เมื่อพูดถึงคริปโตเคอเรนซี่ จะมีเหรียญประเภทหนึ่งชื่อว่า Stablecoin โดยเหรียญประเภทนี้จะไม่มีความผันผวนเนื่องจากจะมีการผูกค่าเงินด้วยทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นเงิน US Dollar หรือพันธบัตรรัฐบาล Stablecoin จึงนิยมใช้มาเป็นคู่เทรดของเหรียญคริปโตตัวอย่างเช่น USDT, USDC หรือ BUSD

ภาพ wallpapers.com

PYUSD ก็คือหนึ่งใน stablecoin ที่จะผูกมือค่าเงินกับ USD และอยู่บนเชนของ Ethereum โดยเหรียญ PYUSD จะได้รับการออกโดยบริษัท Paxos ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ออกเหรียญ BUSD ให้กับ Binance ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ PayPal เข้ามา ในวงการคริปโต ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการสร้าง PayPal Network เพื่อไว้แลกเปลี่ยนเหรียญ BTC, BCH, LTC และ ETH การที่บริษัท PayPal เข้ามาทำเหรียญ PYUSD มีแนวโน้มที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เข้ามาศึกษาคริปโตเคอเรนซี่มากยิ่งขึ้น เพราะว่าบริษัท PayPal อยู่ในแวดวงของการเงินมานานและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดไว้ในตัวอื่น ๆ ได้อีกด้วย และการใช้ Ethereum Chain ก็อาจจะทำให้มีคนสนใจใน ETH

มากขึ้นและอาจจะเป็นสินทรัพย์ที่มีการเติบโตในอนาคต แต่เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย การที่PayPal เข้ามาทำแบบนี้ เป็นการเข้ามาแบบรวมศูนย์มากๆ และมีความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้งานจะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปเนื่องจาก PayPal สามารถควบคุมและดูแลบัญชีของผู้ใช้งานได้นั่นเอง ซึ่งมันเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับคริปโตเคอเรนซี่ที่ต้องการความกระจายศูนย์ และในการควบคุมความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินเหล่าที่เป็นผู้ใช้งานก็จำเป็นที่จะต้องเชื่อใจบริษัทที่มีการออกเหรียญนั้นๆ ตัวอย่างเช่น PYUSD ของ PayPal เราก็จำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นว่าเขานั้นมีการผูกค่าเงิน 1:1 และไม่ได้มีการโกงลูกค้า ดังนั้นแล้วในแง่มุมของ Stablecoin มันมีความรวมศูนย์อยู่ในตัว

ตอนนี้ PYUSD ยังคงใช้ประโยชน์ได้แค่เพียงการแลกเปลี่ยนกับเหรียญคริปโตอื่น ๆ ใน PayPal Network เท่านั้น ยังไม่มีประโยชน์ด้านอื่น ๆ

การกำกับดูแลเหรียญ Stablecoin

ภาพ Pexels/David McBee

อย่างที่รับรู้กันว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ต้องการกำกับคริปโตเคอเรนซี่ และมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรดังนั้น Stablecoin ก็ต้องถูกกำกับดูแลด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนนี้ทางประธาน FED คุณ Jerome Powell ได้บอกว่าทาง FED ออกโรงที่จะกำกับดูแลด้วยตัวเอง โดยธนาคารที่มีการถือเหรียญ, ออกเหรียญ, หรือโอนเหรียญประเภท Stablecoin จำเป็นที่จะต้องรายงานให้แบงค์ชาติรับรู้ ซึ่งการที่ FED ออกมาบอกแบบนี้ก็หมายความว่าทางแบงก์ชาติจะดูแล Stablecoin ในตลาดคริปโต ซึ่งมันอาจจะทำให้ SEC ไม่มีอำนาจในส่วนนี้ไปนั่นเอง อย่างไรก็ตามเราคงต้องดูท่าทีของ Gary Gensler ว่าจะมีท่าทีกับ PYUSD และเหรียญ Stablecoin เหรียญอื่น ๆ อย่างไร

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance เดินหน้าขยายธุรกิจ คืบหน้าเปิดสาขาดูไบพร้อมเปิดสาขาญี่ปุ่น

Binance ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มเดินเครื่องขยายธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่โดนฟ้องร้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา Binance ก็เริ่มเบนเป้าไปที่ประเทศอื่นหนึ่งในนั้นก็คือเมืองดูไบของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยทางบริษัทได้ใบอนุญาตชั่วคราวเมื่อเดือนกันยายนปี 2022 และได้รับ ใบอนุญาต MVP (Minimal Viable Product) จาก Virtual Assets Regulatory Authority (VARA) ของดูไบ เมื่อปีที่ผ่านมา โดยใบอนุญาตดังกล่าวทำให้ Binance จะสามารถเปิดบัญชีธนาคารในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พร้อมกับดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่

ภาพ Pexels/Ivan Siarbolin

การดำเนินการเพื่อเปิดธุรกิจเมืองดูไบ Binance ผ่านมา 1 ใน 3 แล้วเหลือเพียงแค่ใบอนุญาตเดียวก็คือ FMP (Full Market Product) ถ้าบริษัทไม่ได้ทำผิดกฎใด ๆ ก็น่าจะได้รับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และ Binance ก็จะสามารถลงหลักปักฐานที่เมืองดูไบได้อย่างไม่ต้องกังวล หลังจากที่บริษัทพยายามจะเจาะตลาดในทวีปยุโรปแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาต

Binance เปิดสาขาญี่ปุ่น

ภาพ Pexels/Arkkrapol Anantachote

นอกจาก Binance จะประกาศชัยชนะที่เมืองดูไบแล้ว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา Binance ก็ได้มีการประกาศเปิดสาขาญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และได้กลายเป็น Exchange คริปโตเคอเรนซี่รายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่เมื่อ 2 ปีก่อน Binance พยายามที่จะเจาะตลาดของประเทศญี่ปุ่นแต่ก็ได้รับคำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแลในญี่ปุ่น เนื่องจากไม่ทำตามกฎระเบียบที่วางไว้ แต่ Binance ก็พยายามเจาะตลาดญี่ปุ่นอีกครั้งโดยการเข้าซื้อ Sakura Exchange BitCoin และเปลี่ยนเป็น Binance Japan

Binance Japan ได้มีการลิสต์เหรียญให้นักลงทุนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนการจำนวน 34 เหรียญ โดยจะมีเหรียญหลัก ๆ อย่าง Bitcoin, ETH, ADA, BNB, Doge และอื่น ๆ

การที่Binance สามารถที่จะเข้าถึงตลาดแห่งใหม่ได้นั้นทำให้พวกเขาไม่ต้องรับแรงกดดันจากการตรวจสอบของประเทศสหรัฐอเมริกามากเกินไป การตั้งหลักปักฐานในประเทศที่เป็นมิตรกับคริปโตเคอเรนซี่คงเป็นเรื่องที่ดีต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต และป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อบริษัทได้ในระยะยาว

ข้อมูลจาก สยามบล็อกเชน : Binance เตรียมลุยดินแดนสุลต่าน! หลังได้รับใบอนุญาตดำเนินกิจการใน “ดูไบ”

สยามบล็อกเชน : Binance ประกาศเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ พร้อมมีให้เทรดถึง 34 เหรียญ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

จะเทรด Forex ต้องรู้จักกับ Finviz

จะเทรด Forex ต้องรู้จักกับ Finviz

ตลาด Forex ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่นักลงทุนใช้ในการเก็งกำไรกันมาอย่างยาวนานโดย Forex นั้นเป็นสินทรัพย์ประเภทคู่เงิน โดยการเก็งกำไรจะขึ้นอยู่กับการแข่งค่าหรืออ่อนค่าของคู่เงินนั้น ๆ แต่ว่าคู่เงินบนโลกมีมากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USD, AUD, EUR, GBP, JPY และอื่น ๆ คำถามก็คือเราควรเลือกคู่เงินไหนมาเทรดดี ในเมื่อตลาดมีหลายคู่เงินให้เราเลือก

วันนี้จะมาแนะนำเว็บไซต์ที่จะทำให้เพื่อนๆ ที่เป็นนักลงทุนหรือว่านักเทรดมือใหม่สามารถเลือกคู่เงินในการเทรดในตลาด Forex ได้ไม่ยาก และสามารถคาดเดาทิศทางของตลาดได้ง่ายอีกด้วยโดยเว็บไซต์นี้มีชื่อว่า Finviz

ใช้ Finviz ช่วยดูทิศทางตลาด

เว็บไซต์ Finviz เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข่าวสาร สินทรัพย์การลงทุน รวมไปถึงภาพรวมของตลาดไว้ด้วยกันโดยในเว็บไซต์จะมีหน้าต่างของตลาด Forex ให้เราดูได้ด้วย โดยการคลิกที่แถบ Forex ที่อยู่บริเวณด้านบนของเว็บไซต์

เมื่อเข้ามาสู่หน้าภาพรวมตลาด Forex แล้ว เว็บไซต์จะแสดงแผนภาพของราคาคู่เงิน ที่เป็นคู่เงินหลักตัวอย่างเช่น GBP/USD , EUR/USD, JPY/USD และแสดงแถบสี ถ้าเป็นสีเขียวแสดงว่าตลาดกำลังเป็นขาขึ้นแต่ถ้าเป็นสีแดงแสดงว่าตลาดเป็นขาลง ส่วนสีเทาจะหมายถึงตลาด Side Way แต่จุดที่น่าสนใจของหน้าต่าง Forex ในเว็บไซต์ Finviz ก็คือแถบแสดงข้อมูลการแข่งค่าและอ่อนค่าของเงินเมื่อเทียบกับ USD ในหน้านี้เราสามารถใช้ในการวิเคราะห์ทิศทางของราคาได้

หน้าต่างดังกล่าวจะแสดงคู่เงินหลัก ๆ โดยมี US Dollar อยู่ที่กึ่งกลาง ถ้าหากค่าเงินใดแข็งค่าจะขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์สีเขียว แต่ถ้าหากเงินไหนอ่อนค่าก็จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์สีแดง

วิธีการวิเคราะห์ทิศทางของราคาและเลือกคู่เงินสำหรับเทรด

  1. ดูค่าเงินที่มีเปอร์เซ็นต์บวก/ลบ เยอะเมื่อเทียบกับดอลลาร์
  2. ถ้าหากค่าเงินมีเปอร์เซ็นต์บวกและอยู่ด้านซ้ายของดอลลาร์ให้ตีว่าเป็นขาขึ้น เหมาะกับการเล่นหน้า Buy
  3. ถ้าหากค่าเงินมีเปอร์เซ็นต์ที่ติดลบและอยู่ด้านขวาของดอลลาร์ให้ตีว่าเป็นขาลง เหมาะกับการเล่นหน้า Sell

ตัวอย่างเช่นในวันที่ 2 สิงหาคม 2566 จากภาพจะเห็นได้ว่า NZD มีเปอร์เซ็นต์ติดลบสีแดงและอยู่ด้านขวาของดอลลาร์ แสดงว่าถ้าเพื่อน ๆ เล่นคู่เงิน NZD/USD ก็ควรเก็งกำไรในทิศทางขาลง เป็นต้น

สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่าการดูการแข็งค่าและอ่อนค่าของเงินในเว็บไซต์นี้เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่ง ในการคาดเดาทิศทางของตลาด Forex เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับแผนการเทรดหรือแผนการลงทุน และไม่อาจจะถูกต้อง 100% ได้ ดังนั้นเพื่อนๆ ก็ควรควบคุมความเสี่ยงให้ดีด้วยเช่นเดียวกัน

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

หุ้น OR ราคาเป็นอย่างไรกันบ้างนะ

หุ้น OR ราคาเป็นอย่างไรกันบ้างนะ

ในเรื่องการเงินถือว่าเป็นจุดสนใจของใครหลายคนอยู่เสมอและสำหรับการลงทุนที่สามารถทำกำไรหรือผลตอบแทนได้สูงมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการลงทุนหุ้นที่หลาย ๆ คนนั้นสามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ และสำหรับประเทศไทยก็มีหุ้นหลายตัวที่คนไทยเลือกลงทุนกัน แต่สำหรับในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น OR หุ้นตัวใหม่ล่าสุดของ PTT ที่ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก

Cr.Pexels

การลงทุนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ในบ้านเราก็คงจะหนีไม่พ้นหุ้น OR ที่เดิมเปิดการจองมาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาในราคา 18 บาทและในการเปิดตัวนั้นก็ทำราคาพุ่งไปถึง 26 บาท ทำให้หลายคนนั้นที่ได้ทำการจองหุ้นตัวนี้ไว้พอราคาเปิดขึ้นมาในราคาที่สูงขึ้นขนาดนี้ทำให้หลายคนนั้นขายทำกำไรกันอย่างไรก็ตามทันทีที่หลายคนนั้นได้เริ่มทำการขายเพื่อทำกำไรกับหุ้นตัวนี้ราคาของมันก็ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นสูงไปกว่า 30 บาทเป็นที่เรียบร้อยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นหลายๆ คนก็เริ่มทำกำไรและได้ขายหุ้นตัวนี้ทำให้ราคาน้ำตกลงมาอยู่ที่ 29.5 บาท อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้หุ้นตัวนี้ก็ได้ทำการเปิดราคาที่ 32 บาท

Cr.Pexels

กลับมามีราคาสูงขึ้นมากกว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเดิม ต้องมาติดตามดูกันว่าหลังหมดสัปดาห์นี้ไปราคาจะประโยคในทิศทางไหนราคาจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือจะมีการเทขายเพื่อให้ราคาลดต่ำลง อย่างไรก็ตามในตลาดหุ้นไทยนั้นยังมีหุ้นอีกมากมายให้เราได้เลือกลงทุนกันแต่การลงทุนในหุ้นนั้นก็ควรที่จะเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีสามารถสร้างผลกำไรได้ แล้วต้องศึกษาเกี่ยวกับวิธีการลงทุนให้ดีเสียก่อน เพราะว่าถึงแม้ว่าหุ้นจะมีราคาสูงขึ้นอย่างไรก็ตามราคาของมันก็สามารถปรับตัวลงมาได้เช่นเดียวกัน ทำให้มีสิทธิ์ที่จะขาดทุนอยู่เช่นเดียวกัน

Cr.Pexels

ถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแล้วเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่าเงินสกุลดิจิตอลเนื่องจากมีความผันผวนที่ไม่สูง แต่ว่าถ้าหากเลือกคุณไม่ถูกตัวแล้วละก็ คงจะไม่สามารถทำกำไรตอบแทนคืนมาได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญในการลงทุนในหุ้นจะต้องสามารถบริหารการเงินของตัวเองให้ดีเสียก่อน และสำหรับมือใหม่ไม่ควรใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนนะครับ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก 
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Stable Coin คืออะไร เหตุใดจึงสำคัญ

Stable Coin คืออะไร เหตุใดจึงสำคัญ

ในช่วงปลายปีอย่างนี้ตลาดคริปโตเคอเรนซี่หรือเงินดิจิตอลก็กลับมาเป็นกระแสดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่อีกครั้งหลังจากที่เคยเป็นที่นิยมและเป็นที่ถูกพูดถึงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับตลาดในประเทศไทยเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้นทำให้ กระแสในคริปโตประเทศไทยบูมมากขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว มีคนจำนวนมากมายที่ได้กำไรจากการที่ราคาเหรียญพุ่งขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าต้นเดือนธันวาคมนี้ จะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่หรือคนที่เพิ่งเข้ามาในวงการเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมราคาของ Bitcoin ลดลงมาถึงราคาเกือบถึง 1,600,000 บาท ทำให้ราคาเหรียญอื่นๆ ลดลงตามมาและนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้าซื้อที่ราคาแพงสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก และด้วยกาแฟที่ได้รับความนิยมเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนทำให้มีคนหลายคนกู้เงินออกมาเล่นเพื่อหวังผลกำไรแต่แล้วก็ต้องสูญเสียเงินไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ด้วยความผันผวนของตลาดทำให้เราจำเป็นที่จะต้องรู้จัก Stable Coin

ภาพจาก Pixabay

Stable Coin เป็นเงินดิจิตอลประเภทหนึ่งที่ราคาไม่มีความผันผวน เพราะว่าเป็นเหลี่ยมที่มีเงินดอลล่าค้ำอยู่ทำให้ราคาเหรียญจะเท่ากับเงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐนั้นเอง ซึ่งเป็นเหรียญที่เหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่เป็นอย่างมากเลยทีเดียวเพราะว่ามีความเสี่ยงต่ำเป็นอย่างมาก และตาม Exchange ต่าง ๆ ของต่างประเทศก็ใช้ Stable Coin ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลสกุลอื่น ๆ ด้วย

ภาพจาก Pixabay

ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ไม่มีความผันผวนทำให้เหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่ชอบความเสี่ยงแต่อยากลงทุนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งกว่าจะได้กำไรไม่เยอะในช่วงที่ราคาขึ้นแต่อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนเยอะเช่นกันในช่วงที่ราคาตลาดเป็นขาลง นอกจากนี้ในช่วงที่เหรียญอื่น ๆ ในตลาดมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรง Stable Coin

สามารถใช้ในประคองพอร์ตของเราไม่ให้ขาดทุนได้ดีมากเลยทีเดียว แถมให้ช่วงที่ราคาของเหรียญในตลาดเป็นขาลง นักลงทุนหลาย ๆ คนใช้ Stable Coin ในการพักเหรียญเพื่อรอเวลาที่ตลาดจะกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ทำให้มีโอกาสที่เรียก Stable Coin จะมีราคาพุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดเป็นขาลง ตัวอย่างเช่นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงที่ Bitcoin มีราคาลดลง เหรียญ USDT ซึ่งเป็นเหรียญ Stable Coin มีราคาสูงขึ้นจาก 34 บาทเป็น 36 บาทเลยทีเดียว

ภาพจาก Pixabay

นอกจากมีเรื่องของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญต่างๆ ในตลาดแล้ว Stable Coin ยังใช้เป็นเหรียญในการลดความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม DeFi อีกด้วย เพราะเป็นเหรียญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในเรื่อง impermanent loss ได้ดีอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับเหรียญ Stable Coin ที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้ก็คือ USDT, USDC, BUSD และ DAI

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก  
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

ประเทศจีนจะไปทางไหน เมื่อเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอยด้านเศรษฐกิจ

ประเทศจีนจะไปทางไหน เมื่อเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอยด้านเศรษฐกิจ

ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่และเป็นมหาอำนาจในทวีปเอเชียรวมถึงเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของทางฝั่งตะวันออกด้วย แต่ดูเหมือนว่าในปัจจุบันนี้ประเทศจีนจะต้องรับมือกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเพราะว่าประเทศกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย

จากการรายงานตัวเลข Consumer Price Index (CPI) หรือว่าดัชนีผู้บริโภค ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ถึงราคาสินค้าและบริการในประเทศนั้นๆ โดยตัวเลขดัชนีผู้บริโภคนั้นจะเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยบ่งบอกว่าประเทศมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงหรือต่ำ สำหรับประเทศจีนการประกาศตัวเลขดัชนีผู้บริโภคประจำเดือนกรกฎาคมตัวเลขออกมาเป็น 0% ซึ่งนั่นก็หมายความว่าประเทศจีนไม่มีภาวะเงินเฟ้อ นอกจากจะไม่มีภาวะเงินเฟ้อแล้วยังสุ่มเสี่ยงที่จะติดลบด้วย

ภาพ Pexels/TonyNojmanSK

 แต่การไม่มีเงินเฟ้อเลยก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นเดียวกันถึงแม้ว่าสินค้าและบริการจะถูกลงแต่ในอีกนัยหนึ่งมันก็หมายความว่าประชากรภายในประเทศเริ่มจะเก็บเงินเข้ากระเป๋าและไม่มีการออกมาจับจ่ายใช้สอยนั่นเองทำให้เศรษฐกิจนั้นเกิดการหยุดชะงักตัว รวมไปถึงอัตราการจ้างงานก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ประเทศจีนจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเงินเข้าไปในระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกับที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทำเมื่อช่วงโควิดที่ผ่านมา

ในตอนนี้เรียกว่าภาพของประเทศจีนตรงข้ามกับประเทศสหรัฐที่พยายามจะลดเงินเฟ้อโดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย

มาตรการสู้เศรษฐกิจถดถอย ภาคส่วนไหนจะได้ประโยชน์

ตอนนี้ประเทศจีนเริ่มที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วและจะมีความคืบหน้าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ อย่างหนึ่งเราสามารถเห็นได้ชัดเลยก็คือธนาคารในประเทศจีนเริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และในอีกไม่ช้าธนาคารกลางก็คงจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงด้วย เพื่อหนุนให้คนลงทุนเพิ่มมากขึ้น

ภาพ wallpapers.com

นอกจากนี้ประเทศจีนอาจจะมีการกระตุ้นบางภาคส่วนธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกับเทรนด์ที่กำลังมาแรงอย่าง AI และบริษัทเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Tencent หรือ Alibaba 2 บริษัทนี้เป็นบริษัทที่เป็นที่รู้จักในประเทศจีนและทั่วโลก และอาจจะเป็นธุรกิจหลักที่จะผลักดันให้ประเทศจีนสามารถก้าวข้ามเศรษฐกิจถดถอยในคราวนี้ไปได้ ในภาคส่วนอื่นๆ ก็คงต้องติดตามว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือภาคส่วนใดบ้าง

ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นผลบวกต่อการลงทุน เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มนำเงินเข้าไปช่วยเหลือภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งนั่นก็หมายความว่ารัฐบาลเห็นความสำคัญในภาคส่วนนั้นๆ ซึ่งมันจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยให้ธุรกิจมีการเติบโต การเข้าไปลงทุนในภาคส่วนเดียวกับที่รัฐบาลจีนเข้าไปช่วยเหลือก็อาจจะทำให้ได้กำไรกลับมาแต่ก็ต้องควบคุมความเสี่ยงไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้สำหรับหุ้นบริษัทเทคโนโลยีก็เริ่มมีการปรับตัวขึ้นแล้ว

สำหรับใครที่ลงทุนในของประเทศจีน หรือกำลังพิจารณาเพื่อเข้าไปลงทุนก็ควรติดตามข่าวของประเทศจีนอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้อง

ข้อมูลจาก investing.com ,

เงินเฟ้อของจีนยังคงดำเนินต่อไป ความกลัวภาวะเงินฝืดทวีความรุนแรง investing.com

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก  
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

ก.ล.ต ยังไม่ปล่อยผ่าน Spot Bitcoin ETF ง่าย ๆ

ก.ล.ต ยังไม่ปล่อยผ่าน Spot Bitcoin ETF ง่าย ๆ

เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากองทุนระดับโลกอย่าง Black Rock และ Fidelity และกองทุนอื่น ๆ มีการยื่นใบสมัครเพื่อทำการเปิด Spot Bitcoin ETF ให้กับหน่วยงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับชาวคริปโตอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ถูก ก.ล.ต ปฏิเสธกลับมาเนื่องจากยังมีข้อมูลที่ไม่มีความชัดเจนในเรื่องของแหล่งอ้างอิงราคา Bitcoin

หลังจากใบสมัครถูกปัดทิ้งในครั้งแรก Black Rock ก็ได้มีการยื่นใบสมัครใหม่อีกครั้งโดยคราวนี้ได้กำกับชื่อแหล่งอ้างอิงราคาไว้ด้วยว่าใช้ Coinbase ศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่อันดับ 1 ของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งอ้างอิงราคาของ Bitcoin

ข้อตกลงระหว่างบริษัทจัดการกองทุน Black Rock กับ ก.ล.ต ที่ส่งผลไปยัง Coinbase และ นักลงทุน

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

เมื่อบริษัทจัดการกองทุนที่ต้องการจะเปิด Spot Bitcoin ETF ใช้แหล่งอ้างอิงราคาจากศูนย์ซื้อขายอย่าง Coinbase ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปได้อยู่ดี แต่มันก็มีประเด็นให้น่าติดตามอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน ซึ่งมันก็ถูกระบุไว้ในข้อตกลงเพื่อที่จะยอมให้

  1. Surveillance-sharing agreement – เมื่อ Coinbase มีการเซ็นว่าจะเป็นแหล่งอ้างอิงราคาให้กับบริษัทจัดการกองทุนข้างต้นจำเป็นที่จะต้องแชร์ข้อมูลต่างๆ ให้กับ ก.ล.ต เพื่อให้หน่วยงานที่กำกับดูแลสามารถเข้ามาตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆ ภายใน Coinbase ทำให้ยักษ์ใหญ่ของอเมริการายนี้จะตกอยู่สายตาของ ก.ล.ต
  2. Information-sharing agreement – เป็นข้อตกลงที่ Black Rock จะยอมให้ ก.ล.ต เข้ามาตรวจสอบข้อมูลของลูกค้าที่ทำการซื้อ Spot Bitcoin ETF ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อ ที่อยู่ เพื่อเกิดความปลอดภัยกับลูกค้า

ภาพ Pexels/Karolina Grabowska

การที่ Spot Bitcoin ETF จะสามารถผ่านได้นั้น 2 ประเด็นดังกล่าวจะต้องเคลียร์และชัดเจนก่อน แต่มันก็คงต้องใช้เวลาอยู่อีกไม่น้อยเลยทีเดียวโดยเฉพาะในด้านของ Coinbase ที่มีความขัดแย้งกับ ก.ล.ต มาก่อนหน้านี้จนถึงขั้นขึ้นศาลเลยทีเดียว

คดีความต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในช่วงต้นของการพิจารณา ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้เห็นความคืบหน้าของ Spot Bitcoin ETF ในประเทศสหรัฐอเมริกาเร็ว ๆ นี้แน่นอน ซึ่งแตกต่างจากทางฟากฝั่งยุโรปที่ได้มีการขยับเขยื้อนแล้วโดยจะมีการเปิดตัว Spot Bitcoin ETF ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ซึ่งเป็นการเปิดกองทุนจากบริษัท Jacobi Asset Management ที่ได้รับการดูแลโดย Fidelity ยุโรปได้นำไปก่อนแล้ว ต้องมาติดตามกันว่าทางฟากฝั่งอเมริกาจะเดินไปทางไหนต่อไป

ข้อมูลจาก efinancethai , Cointelegraph, Coindesk

ดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ เศรษฐกิจโลก  
เวปไซด์ mee-money.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook