จากบทความตอนที่ 1 คุณได้ทำแบบทดสอบทั้ง 7 ข้อและได้คะแนนรวมของแบบทดสอบทั้ง 7 ข้อไว้แล้ว สำหรับบทความตอนที่ 2 ครั้งนี้มาดูคำเฉลยความหมายของคะแนนที่คุณได้นั้น มันมีความหมายว่าอย่างไร?
สำหรับคะแนนที่ดีที่สุดก็คือคือ 0 นั่นหมายความว่า ถ้าคะแนนของคุณยิ่งเยอะยิ่งไม่ดี ยิ่งได้คะแนนเยอะ แสดงว่าคุณมีปัญหาเรื่อง Mindset ทางการเงินอย่างมาก ซึ่งถ้าเอาแบบทดสอบนี้ไปถามคนรวย คะแนนรวมของเขาจะออกมาเป็น 0 หรือใกล้เคียงกับ 0 มากๆ เช่นเดียวกันถ้าไปถามคนที่มีรายได้น้อยมีเงินน้อย คะแนนก็จะเทไปทาง 10 หรือ 10 เต็มเลย ฟันธงว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่มีคนรวยคนไหนคะแนนได้คะแนนแย่จากแบบทดสอบบทนี้เลย
ที่นี้ก็มาดูว่า แล้ววิธีการแก้ไขว่าจะแก้อย่างไรให้เปลี่ยน Mindset ทางการเงินของเรา สิ่งที่ต้องทำก็คือ เราต้องกลับไปแก้ไขที่จุดเริ่มต้นนั่นก็คือ”วิธีคิด” ของเรา ต้องมาถามตัวเองว่าไอ้วิธีคิดทั้ง 7 ข้อในแบบทดสอบนี้มาจากไหน? เราไม่ได้ชอบเงินหรือชอบเงิน คนเรานั้นเกิดมาก็เปรียบเสมือนกระดาษขาว นั่นคือเกิดมามีความเป็นกลาง แต่พอเริ่มโตขึ้นเราก็เริ่มรับรู้เรื่อง จากคนรอบๆตัว พ่อ แม่ พี่ น้อง เรื่องที่โรงเรียน จากเพื่อน จากการศึกษา จากสื่อต่างๆ ที่ค่อยๆหล่อหลอมคุณจนมีความเชื่อตามสิ่งที่คุณรับรู้ นั่นก็คือว่าความเชื่อที่คุณมีมาจากสองอย่างเท่านั้นก็คือ ข้อมูล และหลักฐาน อย่างถามว่าอายุเกษียณคืออายุเท่าไหร่? ถามคนไทยคนไทยตอบว่า 60 ถ้าไปถามคนที่สิงคโปร์ เขาจะตอบว่า 63-65 เห็นไหม? ว่า สองประเทศความเชื่อเรื่องเกษียณก็ไม่เหมือนกันแล้ว ซึ่งถ้าไปถามมนุษย์ยุคหิน เขาก็จะถามกลับมาว่า เกษียณคืออะไร? เพราะเขาไม่รู้ และความเชื่อก็ยังเปลี่ยนได้ เช่นเมื่อก่อนไม่ชอบดาราคนนี้เลยเล่นละครไม่เห็นดี พอดูนานๆไปเออก็เล่นดีเหมือนกันนะ ชักชอบแล้วนะ ที่เปลี่ยนก็เพราะมันได้ข้อมูลใหม่ เห็นพัฒนาที่ดีขึ้น ทั้งที่คุณก็คือคนเดิม แต่ความเชื่อคุณเปลี่ยนได้ เพราะข้อมูลมันเปลี่ยน หลักฐานที่เห็นมันเปลี่ยน

สำหรับแบบทดสอบที่ทำไป คนที่ได้คะแนนแย่มันสะท้อนว่าตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน คุณได้ข้อมูลและหลักฐานด้านการเงินมาแบบลบๆตลอด ยกตัวอย่างจากคำถามแบบทดสอบในข้อที่ว่า “ คนจนรวยยาก” หลายๆคนก็ตอบว่าใช่เห็นด้วย ดังนั้นหน้าที่ของเราคือ เราต้องเปลี่ยนข้อมูลใหม่ หลักฐานใหม่ จะได้เกิดความเชื่อไม่ ให้มองเห็นว่า ข้อมูลนี้มันไม่ใช่มันไม่จริง คนจนที่รวยง่ายก็มี คนจนไม่ได้รวยยาก ในบ้านเราก็อย่างเช่น อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่เกิดมาจน โดนข้างบ้านดูถูก ซึ่งอาจารย์ไม่สนใจรู้อย่างเดียวว่า ต้องรวย เลยกลายเป็นคนที่วาดรูปเดียวอยู่ได้ทั้งชีวิต ในขณะที่บางคนวาดทั้งชีวิตแต่ไม่พอกิน มันเป็นเรื่องของ Mindset อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ คุณตัน อิชิตัน ที่เรียนจบแค่ ม.3 เมื่อก่อนเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ แบกข้าวสาร เป็นเด็กวิ่งส่งของมาก่อน แต้เดี๋ยวนี้มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์และติดอันดับคนที่รวยที่สุด 1 ใน 50 ของประเทศไทย ดังนั้นเกิดมาจนรวยยากจริงหรือเปล่า? ตอนนี้คุณคงเริ่มเห็นแล้วว่าไม่ใช่ ดังนั้นหน้าที่ของคุณก็คือ คุณต้องหาข้อมูล หาหลักฐานใหม่ให้กับตัวคุณเอง เพราะที่ผ่านมาคุณได้แต่ข้อมูลและหลักฐานด้านลบ ซึ่งมันไม่มีอะไรจริง ทุกอย่างอยู่ที่ว่าคุณเชื่อในข้อมูลแบบไหนชีวิตคุณก็จะไปตามที่คุณเชื่อ

สุดท้ายอยากบอกว่า อย่าเอาความรวยกับความดีมาทับซ้อนกัน คนส่วนใหญ่มักชอบคิดว่าคนรวยไม่ดี คนรวยมันต้องโกงมา ซึ่งๆจริงๆแล้วความรวยกับความดีไม่เกี่ยวกันเลยมันคนละเรื่องกัน คนรวยก็มีคนดี มีคนเลว คนจนก็มีทั้งคนดีและคนเลว ความจนความรวยไม่เกี่ยวกับความดีหรือความเลว ดังนั้นจะดีหรือเลวไม่เกี่ยวกับเงินเลย จึงอย่าไปเอามันทับซ้อนทางความคิดเพราะมันจะทำให้ชีวิตของคุณเดินไม่ถูกทาง …ขอย้ำว่าอยากมีเงิน ต้องชอบเงินนะ

และคุณก็สามารถเป็นสองอย่างรวมกันได้ คือเป็นทั้งคนรวยและเป็นทั้งคนดีได้ คุณว่าไหม?
ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง
เวปไซด์ mee-money.com