อินเดียปรับเข็มหวังแบ่งเค้กในอาเซียน

รัฐบาลอินเดียเริ่มปรับเข็มการเดินหน้าลุยตลาดอาเซียน มุ่งไปสู่สินค้าที่อินเดียมองว่าได้เปรียบกว่าในด้านการผลิต

ถ้ามองในแง่ของประชากรของอาเซียนแล้วปัจจุบันอยู่ที่ 648 ล้านคนรวมทั้งภูมิภาคคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 723 ล้านคนในปี 2030 ซึ่งเป็นทั้งกำลังผลิตและผู้บริโภคในสายตาของเขตเศรษฐกิจอื่น ในปัจจุบันทั้งอาเซียนเป็นตลาดเป้าหมายหนึ่งของจีนที่มีประชากร 1.4 พันล้านคนมากกว่าทั้งอาเซียนรวมกัน โดยชาวไทยส่วนใหญ่ล้วนทราบดีถึงผลกระทบที่สินค้าจีนหลั่งไหลเข้าประเทศในขณะนี้ราวกับสายน้ำ

ดูตัวเลขส่งออกในปี 2019 จากอาเซียนไปจีนอยู่ที่ 2แสนล้านUSD ในขณะที่ตัวเลขนำเข้าอยู่ที่3แสนล้านUSD คิดเป็น 21 % จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของจีนทั้งๆที่ขนาดการส่งออกใกล้เคียงกันที่ราวๆ 1.4 ล้านล้านUSD เรียกว่าอาเซียนกลายเป็นเค้กก้อนหนึ่งของจีนไปแล้ว

กลับมาดูเป้าหมายของอินเดียบ้าง เมื่ออินเดียที่มีประชากรและกำลังการผลิตที่ไม่ยิ่งหย่อนกันมองดูตัวเลขการส่งออกของตนเองเทียบกับนำเข้าจากอาเซียนแล้วก็คงไม่น่าจะพอใจเท่าไหร่นัก ในปี 2019 อาเซียนส่งออกไปอินเดียราวๆ 48,299 ล้านUSD ในขณะที่ทั้งอาเซียนนำเข้าจากอินเดีย 28,798 ล้านUSD เรียกว่าห่างกันแบบที่อาเซียนกับจีนเป็นในทิศทางที่กลับกัน

ในข้อตกลงเขตการค้าเสรีซึ่งจะมีการจับเป็นกลุ่มๆกันไปและรายละเอียดของแต่ละกลุ่มก็แตกต่างกัน ระหว่างอินเดียและอาเซียนนั้นอยู่ภายใต้ข้อตกลง AIFTA นั้นมีความร่วมมือกันมาตลอดโดยมีการลดสินค้าที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าระหว่างกันถึง 590 ประเภทสินค้า แถมใน ASEAN ยังปรับลดภาษีการค้าภายในระหว่างกันก็ยิ่งน่าจะทำให้สินค้าอินเดียมีโอกาสมากขึ้น

แต่กระแสตอบรับจากนักธุรกิจในอินเดียก็พากันบ่นภาครัฐกันมาช่วงใหญ่แล้วถึงประเภทสินค้าปลอดภาษีส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ช่วยนักธุรกิจในอินเดียสักเท่าไหร่ เพราะสินค้าส่วนใหญ่ที่ไม่เสียภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นสินค้าเกษตร ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า ปิโตรเคมีภัณฑ์ ตลอดจน ข้าว ชา กาแฟ ซึ่งเป็นของที่อินเดียต้องการจากอาเซียนมากกว่าทั้งนั้น 

ทำให้รัฐบาลอินเดียเริ่มปรับเข็มการเดินหน้าลุยตลาดอาเซียน มุ่งไปสู่สินค้าที่อินเดียมองว่าได้เปรียบกว่าในด้านการผลิต เช่น ข้าวสาลี แป้งสาลี สินค้าดิจิตอล และ เฮลท์แคร์ 

ข้าวสาลีเป็นสินค้าที่อินเดียเป็นผลิตเองเป็นอันดับสองของโลก และอาเซียนก็มีสัดส่วนการบริโภคเพิ่มขึ้นทั้งความนิยมสินค้าเบเกอรี่ที่มากขึ้น และนำไปทำเป็นบะหมี่สำเร็จรูป 

ส่วนด้านไอทีต้องนับว่าอินเดียมียอดฝีมือด้านนี้จำนวนมากอันดับต้นๆของโลก เมื่อเล็งเห็นว่าผู้คนในแถบอาเซียนเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตมากขึ้นก็เป็นโอกาสที่ดีที่อินเดียจะนำเอาธุรกิจดิจิตอลเข้ามาในอาเซียนมากขึ้นทั้งโปรแกรม

เฮลท์แคร์ เป็นสินค้าที่คนในอาเซียนสนใจมากขึ้น อุตสาหกรรมยาในอินเดียนั้นมีขนาดหลายพันล้านUSD สะท้อนให้เห็นจาการที่อินเดียเป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด19 รายใหญ่ ซึ่งอินเดียมองว่าไม่ใช่แต่คนในอาเซียนที่จะเป็นผู้บริโภค แต่จากการที่คนต่างชาติในเขตอื่นๆเดินทางมาอาเซียนเพื่อรับการรักษาที่มีคุณภาพก็มีเป็นจำนวนมาก

สรุปว่ามันกระทบกับคนไทยหรือไม่

จะเห็นว่า กลุ่มสินค้าที่อินเดียกำลังจะรุกตลาดอาเซียนนั้น ถือว่าไม่สร้างผลกระทบให้กับคนในประเทศเรามากนัก เนื่องจากเป็น แป้งสาลีกับยา เป็นสินค้าที่เราเองขาดแคลนไม่มีกำลังผลิตเพียงพออยู่แล้ว มีเพียงสินค้าดิจิตอลที่เกี่ยวกับการซื้อของออนไลน์ซึ่งไม่แน่ว่าจะกระทบอย่างไร แต่คาดว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะกระทบเหมือนอย่างที่อาลีบาบาทำข้อตกลงกับรัฐบาลไทยเอาไว้ 

ดีไม่ดีอาจเป็นตัวช่วยด้วยซ้ำ

ติดตามบทความเรื่อง การเงิน การลงทุน และธุรกิจได้ที่ มาร์เก็ตติ่ง 
เวปไซด์ mee-money.com